วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บันทึกการเดินทาง ในประเทศไทย จากจังหวัดนครปฐม มุ่งสู่ จังหวัดตรัง

บันทึกการเดินทางจากจังหวัดนครปฐมจาริกไปส่ง สมณะกลางดิน โสรัจโจ จาก ปฐมอโศก สู่ ทักษิณอโศก จังหวัดตรัง ตั้งแต่ วันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ ถึง วันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

โดย...สมณะบินก้าว อิทธิภาโว



เมื่อตั้งใจเป็นจุดเริ่ม การก้าว...จึงก่อเกิด

วันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ เมื่อตั้งใจที่จะเดินไปส่ง พี่ท่านกลางดิน โสรัจโจ จากจังหวัดนครปฐม ผ่านจังหวัดราชบุรี จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดชุมพร จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดกระบี่และปลายทางคือจังหวัดตรัง ระยะทางคาดว่ากว่า ๙๐๐ กิโลเมตร




เสมือนญาติมาเยือน เสมือนเพื่อนมาสู่ การสนทนาจึงไม่มีรู้เวลาจบ

วันที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ อาตมาก้าวออกจากปฐมอโศก มุ่งไปสู่ร้านมังสวิรัติที่ซอย ๒ ในเมืองนครปฐมเพื่อสมทบกับพี่ท่านซึ่งเดินมาจากสันติอโศกกรุงเทพ ฯ ก็ได้พบว่า พี่ท่านกำลังสนทนาธรรมกับโยมที่ร้านอย่างรื่นเริงในธรรม หลังจากกราบคารวะทักทายพอสมควรแล้ว โยมได้จัดอาหารมาถวาย
ตอนบ่ายแดดไม่ร้อนมากนักก็เดินไปสู่บ้านดินของโยมอารยาที่นิมนต์ให้ไปแวะเยี่ยม วันนี้ได้สนทนาอย่างออกรสประหนึ่งญาติที่ห่างไกลได้มาเจอกัน ซึ่งที่บ้านก็มีพ่อบ้าน พี่ชาย ลูกชายของโยมอารยามาสนทนาอย่างสนใจซักถามปัญหาและพาชมบ้านดินอย่างภาคภูมิใจจนค่ำ คืนนี้พักค้างคืนที่นี่บรรยากาศภายในบ้านที่สงบร่มเย็น




ป้อนอาหารธรรมให้แก่ใจ รับอาหารกายให้ชีวิตยังกิจพระศาสนา

วันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ รุ่งเช้าครอบครัวโยมอารยาจัดอาหารมาถวายและคุณอุ๊ ก็มาทำบุญถวายที่โกนหนวดให้อาตมาได้นำไปใช้ ซึ่งพอดีว่า ไม่ได้นำมีดโกนมาด้วยพอดี ครั้นฉันอาหารแล้ว จึงออกจากบ้านโยมอารยา เดินข้ามถนนมาลัยแมนฝั่งตรงกันข้าม แต่ก่อนจะข้ามทางยกระดับเหนือรางรถไฟ ก็ได้เลือกจาริกไปตามถนนริมทางรถไฟที่คู่ขนานไปกับถนนเพชรเกษมเพื่อไปสู่ราชบุรี เดินกันพักใหญ่ก็ได้พบกับ นาวาเอกประสงค์ ข้าราชการบำนาญเปิดร้านอาหารได้นิมนต์ให้แวะฉันอาหาร ครั้นอาตมาบอกว่า ได้ฉันมาแล้วโยมจึงนำน้ำมาถวายพร้อมปวารณาและนิมนต์ให้มาอีก ขณะนั้นก็ มีโยมแวะมาถวายเงินซึ่งได้อนุโมทนาและอธิบายให้ทราบว่า พระที่แท้นั้นต้องไม่มีเงิน ไม่ใช้เงิน ไม่รับ -ไม่สะสมเงินจนตลอดชีวิต หากรูปใดมีก็ผิดพระธรรมวินัย ซึ่งวันนี้มีโยมถวายเงินและได้อธิบายพร้อมมอบคืนกลับไปให้โยมนำไปทำบุญในส่วนที่เหมาะสมเป็นจำนวน ๗๐๐ บาท ต่อจากนั้น เดินมาพบเด็กชายมงคลชัย เข้ามาถวายน้ำส้ม และเริ่มก้าวเข้าสู่พื้นที่ของจังหวัดราชบุรี ใกล้เที่ยงวันได้แวะนั่งพักบริเวณร้านอาหารที่อยู่ริมทางเมื่ออากาศร้อน ครู่ใหญ่ก็มีสาวแพน หรือคุณอนุสรา ชีวิตพบปัญหามีทุกข์มากและสำคัญคือ เธอเจอปัญหาเรื่องที่บ้านมีผีและตั้งอยู่ในโหงวเฮ้งไม่ดี มาปรึกษา ฯ พี่ท่านจึงแนะนำให้กินเจในทุกวันเกิด ( เธอเกิดวันศุกร์ ) พอแดดเริ่มอ่อนแสงอากาศเริ่มเย็นจึงเดินทางต่ออาตมาเองก็เผลอลืมเก็บผ้าเช็ดบาตรไว้ที่ตรงนี้ เป็นผ้าที่ใช้มานานได้รับมาจากโยมตอนที่จาริกในเวียดนามเหนือ จนถึงร้านขายอาหารมังสวิรัติของโยมแม่รวงข้าว โยมแม่ของสมณะนาไท ภันเตของอาตมาอีกรูปหนึ่งก็ราว ๆ ๑๗.๑๗ น. และ ๑๗.๕๕ น.โยมแม่รวงข้าวได้นิมนต์ให้มาพักที่บ้านอีกหลังที่อยู่ด้านใน ครู่ใหญ่ภันเตนาไทก็มาสมทบทราบว่า ท่านไปให้กำลังใจโยมอยู่ที่นาเมืองกาญจนบุรีและพรุ่งนี้จะไปบ้านราช ค่ำนี้โยมอำนวยและโยมพี่ชายภันเตนาไท มาสนทนาธรรมอย่างออกรส จนกระทั่ง ถึง ๒๐.๐๐ น. ถึงได้กราบลาไปเพื่ออาตมาจะได้พักผ่อน


เดินเกินกว่าแรง สังขารเลยแสร้งประท้วงจนเกิดแผลให้ต้องปรับ แก้ไข

วันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ ฉันอาหารเช้าที่บ้านโยมแม่รวงข้าวแล้ว ๐๘.๐๐ น. ออกเดินทางต่อจนถึงเที่ยงวัน อีกประมาณ ๑๘ กม.จะถึงเมืองราชบุรี อากาศร้อนมาก เดินกันจนเหงื่อชุ่มจีวร จึงแวะพักใต้ร่มไม้ใหญ่หน้าบ้านโยมคนหนึ่ง ขณะพักก็มีโยมชมเป็นแม่ค้าโดยใช้รถซาเล้งขายของได้นำน้ำสัมมาถวายพร้อมเอ่ยขอของดี.. ก็ได้ให้ของดี คือ คำพูดที่ดี ๆ ให้ไป
ขณะพักก็ผึ่งผ้าจีวรที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ครู่ต่อมา เจ้านุ จอมฟ้าและคุณประหยัด จากปฐมอโศกเอารถมาซ่อมพร้อมทั้งแวะมาหาถวายน้ำและสนทนาเพื่อเตรียมการถ่ายทำวิถีชีวิตแห่งอนาคาริกในเย็นนี้และวันพรุ่งนี้เพื่อนำลง FE-TV สถานีโทรทัศน์เพื่อแผ่นดิน ว่าจะให้ทำอย่างไรบ้าง !!! จนกระทั่งบ่ายเมื่อแดดร่มอากาศเย็นพอสมควรแล้วจึงออกเดินต่อ โดยอีกประมาณ ๘ กม.จะถึงราชบุรี ทีม เอฟอี - ทีวี ได้เดินทางมาถึงและเริ่มเก็บภาพซึ่งพบว่า...ได้มีญาติโยมซึ่งก็คล้าย ๆ ดาราที่มาโดยธรรมด้วยศรัทธาในการพบเห็นพระที่เดินจาริก...เข้ามาประกอบฉากกันหลายราย โดยบางคนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเดินทางไปปฏิบัติราชการที่ จ.สุราษฎร์ธานี ได้เข้ามาถวายยา ถวายน้ำและพร้อมที่จะขอนิมนต์ให้ขึ้นรถโดยพร้อมจะขับพาไปส่ง โยมบางคนก็แวะมาถวายเงิน ๒๐๐ บาท จากนั้นเดินกันจนมืด ๒ ทุ่มกว่าแล้วก็ยังไม่ถึงจุดหมาย ฯ อาตมาเองพบว่า ตนเองมีเหงื่อออกมากและเริ่มเกิดทุกขเวทนาจากแผลบริเวณขาหนีบอันเกิดจากการเดินที่มากกว่าปกติจนร่างกายคงจะฝืนไม่ไหว อาการเจ็บจากการเสียดสีมีมากพอสมควรในทุกก้าวเดิน จึงต้องขอนั่งรถที่มาถ่ายทำเพื่อถนอมร่างกายไว้ในวันต่อไป ขณะที่นั่งในรถก็ตามเก็บภาพพี่ท่านไว้เพราะไม่อาจจะกลับมาทำใหม่ได้ โดยอาตมาเองก็นั่งไปกับรถเพื่อจะได้ถึงปลายทางคืนนี้ คือวิทยาลัยเทคนิคพร้อม ๆ กัน เมื่อถึงบ้านพักครู และทำกิจส่วนตัวแล้วก็มีเด็กๆ ลูกหลานครูเข้ามาสนทนาฟังนิทานจนสมควรแก่เวลาจึงได้พักผ่อน


ชีวิตนี้ กรรมที่เราทำเป็นผู้ลิขิตให้เราเป็นไปโดยแท้นำทาง มิใช่ฝากให้ใครนำพา หรือ พาใคร...อย่างไร้ทิศทาง

วันที่ ๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ เช้าเสียงไก่ขันแต่ตี ๓ อาตมาตื่นมาบำเพ็ญจนสว่าง ได้เวลาออกโปรดญาติโยมๆพากันใส่บาตรมากมาย ครั้นฉันเช้าแล้วก็ออกเดินต่อโดยทีมถ่ายทำก็ยังตามเก็บภาพเป็นระยะ ๆ ส่วนสุขภาพอาตมาก็ต้องอาศัยแป้ง เพื่อไม่ให้แผลเสียดสีกันไปมาก็พอแก้ไขไปได้ จนเกือบจะ ๑๑.๒๐ น. ได้ก็เข้าที่ศาลาใหญ่ที่พักริมทาง และนั่งสนทนาถ่ายทำหลายคำถามพอสมควร จากนั้นทีมงานพร้อมคุณครูจะกราบลาจากไป อาตมาทั้งสองนั่งอยู่สักครู่ก็มีโยมคนหนึ่งดูภูมิฐานและมีฐานะดีแต่ร่างกายอาจจะไม่สะดวกในการไปไหน-มาไหนด้วยตนเอง จึงอาศัยรถไฟฟ้าขับขี่ไปไหนมาไหนแทน ได้เข้ามาในศาลาสนทนา ซักถามจากนั้นสักครู่อาตมาก็ขอตัวจากลาเพื่อจาริกต่อ
การเดินทางบ่ายนี้ ได้พบกับคุณเปรมจิตร ณ บางช้าง และลูกชายที่เพิ่งลาสิกขาจากสามเณรหัวยังโล้นอยู่ได้นำน้ำดื่มเข้ามาถวาย จนกระทั่งถึงบ้านโยมช้าง ที่อยู่ใกล้ ๆ วัดเพลง จ.ราชบุรี โยมที่บ้านได้ช่วยเอาภาระโดยขอผ้าจีวรไปซักให้ ฯลฯ และหลังจากทำกิจส่วนตัวแล้วมีการตั้งวงสนทนาธรรม ๒ วงด้วยกัน วงผู้ใหญ่พี่ท่านสนทนาทราบว่า ผู้เข้ามาสนทนาเป็นชาวคริสต์ที่สนใจพระพุทธศาสนา และวงเด็ก อาตมาเองเด็กชวนสนทนาเรื่องจตุคามและการเล่นเกมส์เล็ก ๆ ทั้งสองวงทุกคนให้ความสนใจมาก ฯลฯ จนดึก จึงได้ข้ามไปพักที่ศาลเจ้าในฝั่งจังหวัดสมุทรสงคราม บรรยากาศดีมาก


ศรัทธาแท้ ตามดูแลสนทนาด้วยหัวใจตลอดเส้นทางอย่างสม่ำเสมอ

วันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ เช้าวันนี้ครอบครัวโยมช้างนำอาหารมาถวาย หลังฉันก็ออกเดินทางโดยมีครอบครัวโยมช้างเดินออกมาส่งถึงถนนใหญ่ อาตมารู้สึกว่า ภายในมีอาการปั่นป่วนมวนท้องพิกล เกิดอาการกระอักกระอ่วนในท้องแปลก ๆ แต่พอได้อ้วกแล้วก็ดีขึ้นทันตา ช่วงเที่ยงพักบ้านร้างริมคลองส่งน้ำโรงเรียนบ้านปากสระ โยมช้าง - โยมตุ้มขับรถติดตามมาดูแลนั่งสนทนาครู่ใหญ่ ฝนก็ตกลงมามากจนคิดว่า วันนี้อาจจะต้องพักที่นี่แหละ โยมทั้งสองจึงช่วยทำการปัดกวาดพื้นให้เหมาะแก่การจะทำเป็นที่พัก ไม่นานฝนก็หยุด จึงได้พากันเดินต่อจนถึงตลาด...ก่อนถึงแยกวังมะนาวก็เกือบค่ำ พบว่ามีวัดจึงขอพัก ชื่อวัดดาวลอย ก่อนเข้ากลดอาตมากับพี่ท่านได้สนทนาเหตุการณ์ต่าง ๆ และพี่ท่านช่วยเย็บสายสะพายใหม่ที่ได้มาจากโยมช้าง เพื่อสะดวกในการเดินทางไกล อาตมาตั้งใจในการจาริกคราวนี้ว่า จะกราบพี่ท่านก่อนนอนทุกวัน


น้ำใจหลั่งมา โดยค่าของคน น้ำใจ ไม่มีสิ่งเหลวไหลปะปน บุญจึงล้นเนื่องในน้ำใจ

วันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ เช้าออกจากวัดเพื่อโปรดสัตว์ในตลาด โยมใส่ขนมมาเยอะ จึงแวะนั่งฉันที่ข้างป้อมตำรวจ อาตมาเองฉันข้าวหลามกระบอกเดียวก็เพียงพอแก่ร่างกาย อาหารที่เหลือมากก็มอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยเป็นลูกศิษย์ต่อไป จากนั้นก็ออกเดินทาง ครู่ใหญ่ฝนตกลงมา พี่ท่านจึงพากันเดินท่ามกลางฝนเย็นฉ่ำ แต่ที่สุดอาตมาก็ต้องนำผ้ายางที่ใช้ปูนอนมาเป็นตัวช่วยขณะที่พี่ท่านก็ต้องเอาร่มที่เป็นกลดไปในตัวด้วยของท่านมาช่วยกันฝน เดินมาจนถึง ถนนเพชรเกษมพบที่อ่านหนังสือชาวบ้านจึงเข้ามาหลบฝนจนหยุดตกแล้วเดินต่อ ๑๒.๓๕ น.หยุดพักหลบแดดที่วัดบ้านกล้วยมีอดีตนักมวยมาช่วยนวดแข้งขาพี่ท่านให้ และเป็นการเริ่มก้าวเข้าสู่พื้นที่รอยต่อจากจังหวัดราชบุรีสู่พื้นที่จังหวัดเพชรบุรี
เกือบสี่โมงเย็นเดินมาถึงวัดดอนทราย ขอหลวงพ่อเข้าพักท่านก็อนุญาตและต้อนรับอย่างดี จากการสนทนาหลวงพ่อมีสุขภาพไม่ค่อยจะแข็งแรงมากนักแต่มีใจยินดีต่อการปฏิบัติอย่างดียิ่งโดยไม่ได้รู้สึกต่ออาตมาที่รู้ว่า เป็นพระที่มาจากคณะสงฆ์สันติอโศกแต่อย่างใด.. และขณะที่พักอยู่บนศาลาที่ท่านจัดให้ ก็มีพระบางรูปมาสนทนาและถามหาของดี ซึ่งจุดนี้พระและบุคลคนทั่ว ๆ ไปก็จะเข้าใจคล้าย ๆ กันว่า ผู้ที่จะมาเดินธุดงค์ออกจาริกแบบอาตมานี้ได้นั้นก็จะต้องมีอะไรดี ๆ แน่ ๆ ซึ่งของดีน่ะ ก็ต้องมีจริง ๆ


ไก่ก็ทำหน้าที่ไก่ คนก็พึงทำหน้าที่คน และแล้วก็เจอเส้นบะหมี่แช่นมไวตามิ้น ปะทังชีวิต

วันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ ณ วัดดอนทราย ตื่นตีสามกว่าตามเสียงไก่ขันรอบแรกนั่งสมาธิจนเช้าจึงออกโปรดสัตว์ตามเส้นทางเลียบคลองชลประทานที่พระในวัดแนะนำว่าเป็นเส้นทางลัดไปสู่ภาคใต้...เมื่ออาหารมากพอแก่การดำรงขันธ์วันนี้ ก็หาที่ฉันริมทางมองไปเป็นท้องทุ่งนากว้างไกล อาหารส่วนมากวันนี้เป็นข้าวเปล่าและขนม ส่วนอาหารเส้นเป็นพวกมาม่าเมื่อไม่มีน้ำร้อนก็เลยนำเส้นไปแช่ในนมไวตามิ้นก่อน เพื่อให้เส้นมันพองน้ำ กว่า ๑๐ นาทีจึงฉันได้ ไม่เช่นนั้นหากฉันแบบดิบ ๆ มันจะไปดูดน้ำในกระเพาะเราจะเป็นเหตุให้ต้องหิวน้ำตลอดทางซึ่งอาตมาซึ้งกับบทเรียนที่ว่านี้มาแล้วจนต้องไปดื่มน้ำในนา อาหารที่ได้มาพร้อมขนมยังคงมีเหลือแบ่งแจกเช่นเดิม จึงมอบให้กับโยมตายายคู่หนึ่งที่กำลังมาตัดต้นขี้เหล็กขายเพื่อเป็นรายได้พอเลี้ยงตนเอง ซึ่งโยมก็ยินดีและก้มลงกราบอย่างซาบซึ้ง...
จากนั้น ก็เดินทางต่อจนพักใหญ่ พบกับโยมมะลิวัลย์นิมนต์ให้เข้ามาดื่มน้ำที่ร้านอาหารของเธอและจากการสนทนาเธอก็ตั้งใจที่จะเลิกเล่นหวยอย่างเด็ดขาด ด้วยตนเองนั้นติดหวยมากและติดมานาน แต่จากการสนทนากับหลวงพ่อก็เริ่มเห็นโทษภัยและเสียดายเงินที่เสีย ๆ ไป แต่แม้กระนั้นก่อนอาตมาจะเดินออกไปจากร้าน เธอก็บอกว่า... “ แต่หากงวดใดที่หนูอดใจไม่ไหวจริง ๆ ก็จะให้สามีเล่นแทนเจ้าค่ะ....”

จากนั้นไม่นานก็เข้าเขตบ้านลาด เส้นทางนี้หากล่องใต้ก็จะตรงไปบ้านยางได้เลยแต่อาตมาต้องเดินตีโค้งเป็นตัวยูย้อนกลับมาเข้าเมืองเพชรบุรี เพื่อไปยังบ้านของ อ.จันพนา ตามที่รับนิมนต์ไว้โดยมีพี่ชายขี่จักรยานออกมาต้อนรับและนำทางมาจนถึงบ้านเมื่อมาถึงก็เกือบค่ำโยมก็ขวนขวายช่วยซักผ้าจีวรให้อย่างเรียบร้อย หลังทำกิจส่วนตัวอาตมากับพี่ท่านก็ได้ช่วยกันติดตั้งจานรับดาวเทียมเอเอสทีวี ๗ ให้สามารถดูได้จนเรียบร้อยด้วยโยมซื้อจานมานานแต่ยังไมได้ติดตั้ง หลังจากความมืดผ่านไปสักครู่ใหญ่ โยมช้างและครอบครัวอันประกอบด้วยภรรยาและลูกสาวทั้งสองได้ตามมาสมทบพูดคุยเรื่องภาษาต่างประเทศกันอย่างสนุกสนาน ส่วนอาตมาดูรายการคุณสนธิและสนทนากับโยมพี่ชาย อ.จันทพนา ที่หันมาศรัทธาอย่างเต็มที่หลังจากที่พูดคุยทราบว่า เดิมไม่ค่อยจะเคารพหรือให้ค่าต่อพระสงฆ์ในยุคนี้มากมายนัก ที่ทำก็เป็นกาลประเพณีบ้าง จนกระทั่งเจ้าดี ลูกชาย อ.จันทพนา และว่าที่ศรีภรรยากลับมาถึงบ้านเข้ามากราบ ทักทายพูดคุยต่อสักครู่ทุกคนกราบลาแยกย้ายกันไป อาตมาจึงขอตัวพักผ่อน


เจอเจ้าหน้าที่ตำรวจ

วันที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ ออกจากบ้านโยมจันพนาสู่ถนนเพชรเกษมเดินมาได้ครู่ใหญ่พบเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบ (ใส่ครึ่งท่อน) มาขอตรวจบัตรฯ และกล่าวหาด้วยคำพูดตามความสงสัยอันเป็นลักษณะของตำรวจว่า มาทำอะไรกันเนี่ย ! วานนี้ก็เห็นอยู่แถวนี้ วันนี้ก็เห็นอีก อาตมาฟังแล้วรู้สึกว่า นี่เป็นการกล่าวแบบเอาเรื่องนิ๊ด ๆ ก็เลยบอกไปว่า โยม อาตมาเพิ่งเดินมาถึงวานนี้ก็เกือบค่ำและเมื่อคืนได้เข้าพักบ้านโยมที่นิมนต์มา ครั้นฉันเช้านี้แล้วก็เดินออกมานี่แหละโยม หลังจากสนทนาและซักถามตรวจดูแล้วนายตำรวจท่านนี้ก็ยกมือไหว้พร้อมลาจากไป... หลังจากนั้นอาตมาเดินทางต่อซึ่งเหลืออีก ๑๐ กม.จะถึงอำเภอชะอำก็มืดซะก่อน จึงหาที่พักก็ได้ที่ปั๊มน้ำมันบางจากสามารถที่จะพักได้ ส่วนวัดก็อยู่ไกล และพอดีเด็กปั๊ม ฯ ที่มาสนทนา พร้อมถวายน้ำก็นิมนต์ให้ไปพักที่ซุ้มนวดแผนไทยที่เลิกบริการไปแล้วอาตมาก็รับนิมนต์ โดยสักครู่โยมช้างและโยมตุ้ม ที่คาดว่า เราน่าจะเดินถึงชะอำวันนี้แต่กลับไม่ถึงก็ได้ตามมาดูแลปัดกวาดสถานที่อย่างเอาใจใส่ ร่วมสนทนาดูวิธีอาตมาสร้างบ้านก่อนกราบลากลับ ก็ขออนุโมทนา...ณ ที่นี้


แม่มารอแต่วานนี้...

วันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ เช้านี้ยังนั่งอยู่ที่ปั๊มบางจากฝนตกแต่เมื่อคืนยังไปไหนไม่ได้ ก็มีโยมข้างปั๊มนำขนมน้ำดื่มมาใส่บาตร กว่าจะออกเดินก็สายมากและเมื่อเดินทางแม้ไม่ได้เตรียมบาตรเพื่อโปรดญาติโยมเพราะได้รับนิมนต์ไปฉันบ้านโยมช้างก็มีโยมนำอาหาร น้ำ ขนมมาถวายพอสมควร กระทั่ง ๑๐.๑๐ น. จึงได้มาถึงบ้านโยมช้างทั้งครอบครัวออกมาต้อนรับโดยเฉพาะโยมชนินทร์ วัย ๗๓ ปี โยมแม่คุณตุ้มมาคอยรอต้อนรับที่หน้าบ้านโยมบอกว่า “ แม่น่ะ คอยแต่วานนี้แล้วนึกว่า ท่านจะมาถึง ” และหลังจากอาบน้ำทำกิจส่วนตัวแล้ว โยมนิมนต์ให้มาฉันข้าวฝีมือโยมตุ้มจนอิ่มเรียบร้อยแล้ว ได้นิมนต์ให้มานั่งพักผ่อนที่หลังบ้านอากาศเย็นสบายใต้ร่มไม้มีโต๊ะแบบชายหาดนั่ง และมีสมาชิกของบ้าน รวมทั้งเจ้าหมา มาสนทนาด้วยหลายตัว ส่วนโยมตุ้มขอช่วยเอาภาระในการซักผ้าถวาย
ตอนเย็นพากันไปอาบน้ำทะเลและขากลับแวะไปพบโยมที่มีความเชื่อเรื่ององค์มาประทับทรงที่ร้านอาหารของโยมแต่มีศรัทธาที่จะบริจาคของเก่า ของรีไซเคิลเข้าเอฟอีทีวี จากนั้นก็กลับมาพักที่บ้านช้าง โดยพี่ท่านแยกไปกับโยมช้างเพื่อหายารักษาอาการคันที่ผิวหนัง สำหรับอาตมาก็กลับมาพักและใช้งาน Internet เล็กน้อยก่อนขึ้นไปพักที่ชั้นบนของบ้าน


แต่ละก้าว ใจได้สัมผัสความรู้สึก...

วันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ เช้าตื่นมาพร้อมเตรียมออกเดินทาง ก่อนฉันมีการสนทนาจากนั้นให้ทุกคนเข้าถึงพระรัตนตรัย ๐๙.๐๙ น.หลังฉันออกเดินต่อ ๑๐.๐๐ น.การเดินทางวันนี้ออกจากพื้นที่ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ปลายทางอยู่ในพื้นที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นบ้านพี่อาอ๋อย หรือ โยมอ่ำและเจ้าเกดที่รู้สึกยินดีในการที่อาตมาทั้งสองเดินทางมาโดยเตรียมที่จะเลี้ยงอาหารเต็มที่ ราว ๆ ๑๙.๔๙ น. จึงเดินมาถึงบ้าน ครอบครัวโยมช้างก็ขับรถตามมาทำความรู้จัก เมื่อทำกิจส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ก็นั่งสนทนาจนดึก เพราะในขณะที่โยมอ่ำเห็นสังขารหน้าตาอาตมาตอนมาถึงบ้านแล้ว เธอก็รู้สึกเป็นห่วงไม่อยากให้สมณะต้องลำบากจึงพยายามจะให้เดินทางโดยจะนิมนต์ให้นั่งเครื่อง ฯ จากหัวหินไปตรังแทน เดชะบุญที่ไม่มีเครื่อง ฯ ก็ได้สนทนากันจนโยมคลายความทุกข์ใจ จากนั้นจึงได้พักผ่อนโดยมีกำหนดเตรียมกันไว้กับทีมถ่ายทำที่จะมาสมทบในวันพรุ่งนี้ไว้คร่าว ๆ ...


เขาจะเอาวิถีชีวิตจริงออกจอ...

วันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ ออกโปรดสัตว์ โดยมีทีมถ่ายทำฯ พร้อม ภันเตเมตตจิตโตที่มาสมทบด้วย เพื่อเก็บภาพทำรายการเป็นตอนที่สองรอบตลาดและลงไปริมทะเล หลังจากนั้นกับมาฉันที่บ้านเรียบร้อยแล้วออกเดินจาริกต่อจนเที่ยงวัน ทีมงานก็ได้ภาพสมที่ตั้งใจมาจนครบ พอดีอาตมามีงานและกิจด่วนเข้ามา จึงขอกลับพร้อมทีมงานเพื่อเตรียมเก็บงานและแก้ปัญหางานบางส่วนที่ปฐมอโศกโดยภันเตเมตตจิตโต ก็อยู่เดินเป็นเพื่อนกับพี่ท่านต่อ

วันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ กลับมาทำงานด่วนที่ปฐมอโศก


ย้อนกลับมาสู่วิถีอนาคาริกเมื่อจบภารกิจ “ งานด่วน ”

วันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ เวลา ๑๘.๐๙ น. ออกเดินทางจากปฐมอโศกโดยอาศัยรถเจ้ามด โสภาและ พี่ชายที่ขาพิการและสติไม่ดีนักเพื่อเดินทางกลับมาสมทบกับพี่ท่านฯ ต่อ ซึ่งกว่าจะหากันพบก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแถมรถก็มาติดติดหล่มทรายอีกต่างหาก


วันนี้ พี่ท่านเจอโยมเอ่ยปาก สู่ขอ... อาตมารอดหวุดหวิด

วันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ รุ่งเช้าก็มีชาวบ้านหลายคนมาช่วยหาทางนำรถขึ้นจากหล่มทรายและมีสองหนุ่มลูกชาวบ้านผู้สนใจในศาสนามาเดินนำทางในการออกโปรดสัตว์ด้วย ส่วนเจ้ามดก็นำอาหารมาสมทบมากมาย จากนั้นหลังฉันแล้วอาตมาก็ได้กราบลาภันเตเมตตจิตโตและแยกย้ายกันเดินทางโดยภันเต ฯ กลับปฐมอโศกพร้อมกับเจ้ามด ส่วนอาตมากับพี่ท่านก็มุ่งหน้าสู่ภาคใต้ต่อไป วันนี้เดินไปตามชายหาดตลอดทั้งวันฯ ผ่านบ้านคุณเจริญ วัดอักษร ที่บ่อนอกและนั่งสนนาที่ครัวชมวาฬของครอบครัวคุณเจริญ ได้ฟังความรู้สึกเกี่ยวกับความเห็นแก่ตัวของคนยุคนี้ในแง่มุมต่าง ๆ จนกระทั่งโยมเจริญโดนลอบยิง...นอกจากนี้ก็ฟังเรื่องราวของปลาวาฬสามตัวที่มาโผล่ให้เห็นเป็นประจำมีการไปถ่ายรูปมาลงอัลบั้มไว้น่าสนใจมาก บรรยากาศการเดินริมทะเลงดงามมาก ญาติโยมระหว่างเดินผ่านบางแห่งชวนสนทนา บางแห่งก็ขอพระ พี่ท่านก็บอกว่า “ นี่ไง ก็มาให้เห็นสององค์ ๆ เล็กกะองค์ใหญ่ จะเลือกเอาองค์ไหนดีล่ะ ” โยมก็สนุกด้วย บอกว่า “ งั้น ขอองค์ใหญ่ ” พี่ท่านก็ว่า “ องค์ใหญ่นี่แพงนา ” โยมก็ว่า “ แพงก็สู้ไหว ” การสนทนาเป็นที่สนุกกันเองและเข้าใจและก็จากกันด้วยรอยยิ้ม
ก่อนค่ำอาตมามองเห็นวัดอ่าวน้อยที่หมายตาว่าจะเป็นที่พักในคืนนี้ เดินไปสักครู่ก็มีโยมครอบครัวหนึ่งประกอบอาชีพทำฟาร์มเลี้ยงกุ้งนิมนต์ให้ดื่มน้ำ จึงแวะโปรดพร้อมนั่งสนทนา โยมได้ถวายซองละร้อยพร้อมนมกล่องอาตมาสองรูปก็รับเช่นที่ผ่านมาและให้คำอธิบายขยายความเพื่อให้โยมเข้าใจในความเป็นอยู่ของพระที่แท้และเพื่อเป็นการเพิ่มความศรัทธาในศาสนาแล้วมอบเงินคืนให้โยมไว้ทำบุญต่อไป รับแต่น้ำดื่มอย่างเดียว อาตมารู้สึกได้ว่าโยมมีศรัทธามากขึ้น นิมนต์ให้รอที่วัดเพื่อขอใส่บาตรพรุ่งนี้เช้า จากนั้นได้เดินมาถึงวัดอ่าวน้อยพระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าอาวาสใจดีนิมนต์ให้พักที่มณฑปพระธาตุด้านบนสุดพร้อมถวายน้ำดื่มขวดใหญ่คนละขวด


ที่วัดอ่าวน้อยยุงใหญ่ ไม่ยอมกินเจซะที...

วันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ ค่ำวานนี้ก่อนจำวัดพบยุงตัวใหญ่มากบนมณฑปแถมดุอีกต่างหากแต่ทำอะไรอาตมาไม่ได้เพราะนั่งสมาธิอยู่ในกลดแล้วเขาจึงเกาะอยู่ข้างนอก ชั่งต่างจากยุงที่อินเดียที่นั่นน่ะเป็นฝูงตอมตามเนื้อตัวแค่ให้รำคาญไม่ยักกะกัดอะไร...เช้านี้อาตมาก็ตื่นแต่ตีสามกว่านั่งสมาธิตามปกติและออกกายบริหารดัดตนครั้นสว่าง พี่ท่านเตรียมออกมานั่งรอโยมที่นิมนต์ไว้วานนี้ที่ว่า จะนำอาหารมาทำบุญ อาตมาก็เดินสำรวจมณฑปเห็นรายชื่อพระที่เขียนไว้ข้างบนประกอบด้วย พระอาจารย์ประสิทธิ อุ่นอบ พระหยือ แซ่ลิ้ม พระเทือน น้ำกลั่น และพระบุญส่ง พิจารณ์ ผู้นำสร้างมณฑปพระธาตุ ครู่ใหญ่โยมนำอาหารมาถวายฝนก็เทลงมาอนุโมทนาเล็กน้อย ทะเบียนรถของโยมคือ บท ๗๗๔๕ เพชรบุรี พอโยมใส่บาตรเสร็จฝนก็หยุดตก อาตมาจึงพากันมาที่หอฉันก็ได้พบหลวงพ่อกำลังทำภัตกิจกันอยู่ จึงมาร่วมตั้งวงด้วย เมื่อเรียบร้อยแล้วอาตมาจึงเดินชมกุฏิ - โบสถ์และอารามที่ทำด้วยไม้และเป็นทรงไทยทั้งหมดงดงามมาก
ขณะชมอารามในใจอาตมากลับรำลึกนึกถึงบทเพลง ๆ หนึ่งที่พ่อท่านประพันธ์ไว้ที่มีเนื้อหากว่า “ นกเอย นกเขา นั่งจับเจ่า ในกรงน่าสงสาร จะโผบินไปไหน มิได้การเสรีภาพถูกผลาญจากพาลชน...” เอ ในใจไหงเป็นงั้นนะท่านบินก้าวเอ้ย....อาตมาได้แต่รำพึงกับตนเอง และการเดินทางวันนี้ใช้เวลาเพียงเล็กน้อยก็มาถึงวิทยาลัยเทคนิค ตามที่โยมช้างแนะนำให้มาพบโยมศักดา อาจารย์ของวิทยาลัย ฯ ผู้เป็นเพื่อน ก็ยังไม่ทันได้พบเนื่องจากติดประชุม ฯ ก็ได้แต่คุยกันทางโทรศัพท์ แต่เมื่อมาถึงก็มีครูสามคนเข้ามาทักทายถวายน้ำ ซึ่งจุดนี้ ก็ถือว่า เข้ามาพักผ่อนไปในตัว จนเวลาผ่านไปราว ๆ ๑๗.๐๐ น.โยมศักดาและภรรยาก็มาพบและสนทนาเล็กน้อย ดูเหมือนการเป็นครูนี่เวลาที่จะสนทนาธรรมไม่มีเอาซะจริง ๆ หรือเขาอาจจะไม่พร้อมหรือไงหนอ...จากนั้น ใกล้ค่ำอาตมาสองรูปก็ขึ้นตึกวิทยาลัยเทคนิคหาที่แขวนกลดพักไม่ได้พักข้างล่างจะได้ไม่ต้องกังวลกับฝนที่อาจจะตก เมื่อเข้ากลดพี่ท่านก็ใช้โทรศัพท์ติดต่อญาติโยมที่อยู่ในเส้นทางอุตลุด(ในความรู้สึกอาตมาที่ได้ยินการสนทนา) ส่วนโยมช้างแจ้งข่าวมาบอกว่า เพื่อนผม สงสัยเอ็งส่งพระอะไรมาเนี่ย...มีคิ้วด้วย แต่พอได้คุยกันโยมก็บอกว่า ก็พอรู้จักมาก่อนบ้าง...


ได้อ่านใจอีกแล้วเรา...

วันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เช้ามืดนี้เจอผัสสะทางเสียงกับพฤติกรรมเปิดเพลงฟังดังๆ จากพี่ท่านอีกแล้ว เหมือนตอนที่ไปเวียดนามตอนนั้นอาตมาก็อ่านใจตนเฉย ๆ คราวนี้อาตมาลงไปเข้าห้องน้ำก็อยู่ไกลพอสมควรเสียงก็ยังดังตามไปถึงอาจจะเพราะเป็นเวลาที่สงัดเงียบมาก ตรองแล้วจำเป็นต้องเอ่ยปากบอกพี่ท่านให้ทราบในความเหมาะควร ซึ่งเหตุแบบนี้ทำให้อาตมาเริ่มได้ข้อสรุปเป็นเบื้องต้นว่า หากเจอแบบนี้ โลกวัชชะแน่และอาจจะขอเดินมาส่งแต่เพียงเท่านี้พร้อม ๆ กับขอแยกกลับปฐมอโศกก่อนอีกทั้งอาตมามีภารกิจเพื่อจะได้เดินทางไปเชียงใหม่ก่อนเข้าพรรษาตามที่ตั้งใจและมีโยมนิมนต์ไว้จะเกิดประโยชน์มากกว่า (แต่หลังจากได้บอกแล้วก็ไม่ปรากฏเหตุการณ์แบบนี้อีกเลย) หลังกลับจากออกโปรดสัตว์ในเมืองประจวบ ฯ ก็มีโยมตามมาถวายอาหารโดยอาตมาจดหมายเลขทะเบียนรถไว้คือ ภ ธ ๒๕๓๑ กรุงเทพมหานคร และแม้หลังฉัน ออกจาริก ก็มีรถเก๋ง หมายเลขทะเบียน พ บ ๔๓๘๔ มานิมนต์ขึ้นรถจะขอไปส่ง อาหารที่ได้มาก็เหลือเช่นเดิม ก็ทยอยแบ่งให้ญาติโยม รวมทั้งน้องครีม เด็กน้อยที่มากับแม่ก็ได้มอบนมกล่องให้ไปเจ้าหนูน้อยยิ้มแต้เลย เดินมาจนผ่านร้านอาหารของโยมวันชัย กับลูกชายร่างอ้วนท้วน อยู่ในระดับมัธยม ชื่อนายกฤษณัย รับปากจะเป็นเด็กดีเป็นลูกที่ดี จนกระทั่ง๑๙.๔๐ น.ก็จาริกถึงบ้านคุณแอ๋วที่หาดสุรินทร์ ซึ่งวันนี้ก็นับว่าเป็นการเดินที่มากกว่า ๓๒ กม.ได้ทันเห็นตนเองออกจอทีวีเล็กน้อย หลังทำกิจส่วนตัวสรงน้ำเรียบร้อยก็มาสนทนากับโยมแม่คุณแอ๋ว สามทุ่มจึงขึ้นไปพักผ่อนชั้นบน ในราวเที่ยงคืนกว่า น้อง ๆ คุณแอ๋วอีกสองคนเดินทางมาเยี่ยมแม่เช่นกันก็มาถึงบ้าน สุขภาพวันนี้ของอาตมาในตอนกลางดึกทำท่าไม่ดีรู้สึกเกิดอาการปวดเมื่อยและบวมที่เท้า จนต้องลุกมาเอายาทา แต่พอเช้าพบว่า อาการกลับเข้าที่ตามปกติและไม่มีปัญหา พอลงมาก็เห็นโยมแม่ตั้งใจฝึกเดินพร้อมไม้เท้าอย่างมั่นคง “ ส่วนลูก ๆ ก็เฝ้ามองดูด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยพลังห่วงใย จากพลังสายตา มองแล้วทายท้าชนะภัย ภัยจากโรคร้ายที่มาเยือน เสมือนเตือนพี่น้องผองเพื่อนอย่าหวั่นไหว ถึงเวลาของใครก็ของใครเลี่ยงได้หรือไม่ก็ด้วยกรรมทำเองเอย...”


ให้หมาสั่งสอนบ้าง...ก็ดีนะ และพบกับ สาว สาว สาว เอาอายุ รวมกันก็สองร้อยกว่าปี...

วันที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ “ เจ้าดอนเสียงดีทำหน้าที่หมา เห่าทุกคนที่เข้ามาสม่ำเสมอ จะสงบเมื่อพบว่าเขาคือเกลอ ขอนำเสนอแด่..เจ้าดอนหมาสอนคน ” เมื่อคืนเจ้าดอนหมาผู้ซื่อสัตย์ต่อเจ้าของบ้านก็ทำหน้าที่เห่ากันขรมทุกครั้งเมื่อมีอาคันตุกะมาเยือนบ้าน อาตมาจึงขึ้นมาประพันธ์บทกลอนมอบให้เจ้าหมาตัวนี้ดังบทกลอนข้างต้น... ก่อนฉันพี่ท่านชวนโยมแม่ฟังธรรมกว่า ๒๐ นาทีหลังฉันฝนตกลงมาอีกก็เลยเดินทางต่อไม่ได้ รอให้ฝนซาและหยุดตกจนเวลา ๑๒.๑๒ น.จึงออกเดินทางต่อไปทางริมทะเลจนเข้าถึงเขต อ.ทับสะแก ฝนตกลงมาอีกครั้งจึงได้มาพักที่ศาลเจ้าแม่บางน้อย ที่นี่ พี่ท่านก็ได้สนทนากับโยมทางโทรศัพท์อย่างเป็นไปตามปกติทุกครั้งครั้นฝนซาก็เดินทางต่อ
จนกระทั่งถึงบ้านโยมเวียนอยู่กับเพื่อนออกมาต้อนรับ ไม่พบโยมวง อายุกว่า ๗๔ ปี ได้ยินว่าไปปฏิบัติธรรม ปกติแล้ว ที่นี่จะอยู่กันสามสาวโสดสนิท หลังจากสรงน้ำโยมขอผ้าไปซักและมานั่งสนทนากัน จนหกโมงเย็นกว่า ๆ จึงได้ขอนำของขึ้นไปไว้ชั้นบนสุดห้องที่โยมจัดไว้ และจากนั้นลงไปสนทนากับโยมเวียนต่อถามเรื่องสุขภาพและทำให้รู้ว่าโยมศรัทธาพระอาจารย์กวี สายหลวงพ่อธรรมชาติ มานานและทราบถึงความตั้งใจที่เป็นโสดกันได้ก็ด้วยไปเห็นการคลอดลูกและเกิดความรู้สึก ไม่เอาดีกว่า ทั้งที่มีคนมาจีบ มีคนมาสู่ขอก็ไม่เอาจนหนุ่มคนนั้นเสียใจจนจะฆ่าตัวตาย เธอก็ไม่ยอมใจอ่อนเป็นโสดมาจนบัดนี้ ต้องอนุโมทนาในความหนักแน่นของโยมจริง ๆ สาธุ ! เจ้าวิสาขาโทรฯ มาสนทนาสภาวะต่าง ๆ ยาวมากหลายเรื่อง วันนี้เป็นการก้าวมาถึงพื้นที่ จ.ชุมพร


เพื่อนใหม่...กับ ลูกหมาตกน้ำ

วันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เจ้าวิสาขาโทรฯ มาสนทนาขอพลังแต่เช้ามืดอีก หลังฉันแล้วโยมขอให้ช่วยเขียนคำอนุโมทนาลงในสมุดบันทึกให้ เรียบร้อยแล้วออกเดินมาจนถึงโรงเรียนชัยเกษมวิทยา ห่างจากอำเภอทับสะแกราว ๑๕ กม.จึงเข้าพักก็เป็นเวลา ๑๒.๓๐ น. แดดร้อนพอสมควร มีโยมมาสนทนาและนำน้ำเย็นมาถวาย ครู่ใหญ่เดินทางต่อได้เพียง ๒ กม.ฝนตกหนักจนต้องใช้ผ้ายางปูนอนออกมาเป็นตัวช่วยกันฝนส่วนพี่ท่านก็เอาร่มของท่านที่ใช้แทนกลดออกมาเช่นกันและก็ต้องหาที่พักหลบฝนชั่วคราวหน้าบ้านโยมหลังหนึ่ง โดยมีหมาขนสีขาวเจ้าของบ้านออกมาต้อนรับทักทายและมาวิ่งเล่นรอบๆ อย่างดีใจเหมือนเขาได้เพื่อนใหม่ อย่างไรอย่างนั้น
หลังฝนซาก็ออกจาริกกันต่อ และแล้วเจ้าฝนก็เริ่มตกหนาเม็ดมาอีกก่อนเป็นลูกหมาเปียกน้ำ ก็มาถึงสำนักสงฆ์สี่แยกบ้านกรูดพอดีจึงตัดสินใจเข้าพัก ได้พบหลวงพี่จวบ ท่านรีบส่งร่มมาให้อาตมาใช้กันฝนและพาไปกราบเรียนอาจารย์เจ้าอาวาสเพื่อขอเข้าพักท่านก็อนุญาตและให้เด็ก ๆ มาจัดห้องถวาย และยังตามมาสนทนา ทำให้อาตมาทราบว่า ท่านเป็นชาวสองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี และมีบ้านญาติพี่น้องอยู่หลังบิ๊กซีนครปฐม แถมยังรู้ประวัติของหลวงพี่น้ำฝนแห่งวัดไผ่ล้อมเป็นอย่างดี เวลามานครปฐมก็มาพักที่วัดไผ่ล้อมเป็นประจำ ค่ำคืนนี้มีโยมที่กำลังเตรียมตัวบวชเอาพรรษาตั้งใจฝึกท่องคำขานนาคมาร่วมสนทนากับพี่ท่าน ส่วนฝนก็ตกพรำทั้งคืน


โยมเวียนตามถวายอาหารเช้า...

วันที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เช้านี้ฝนยังคงตกพรำๆ ไม่มีทีท่าที่จะยอมหยุดเอาง่าย ๆ ออกมาจากกฏิก็เห็นหลวงพี่จวบผู้เอาภาระสอนการท่องคำขานนาค แม้ท่านเองบวชมาได้เพียงไม่กี่สิบวันก็ตาม เดินกางร่มออกโปรดชาวบ้านตอนหกโมงครึ่ง จนเวลา ๐๙.๒๕ น.โยมเวียนพร้อมเพื่อนเกลอได้นำอาหารมาถวายจนพอแก่ร่างกายและอนุโมทนาแล้วลาจากไป อาตมาก็กราบลาหลวงพ่อเจ้าอาวาสและจาริกต่อ เช้านี้มีโยมถวายน้ำดื่มสองรายเดินกันไม่ทันไรก็ต้องหาที่หลบฝนกันอีกราว ๆ ๑๑.๑๕ น. ฝนหายก็ออกเดินไปจนถึงโรงเรียนราษฏร์ประสงค์เป็นเวลาค่ำพอดีจึงเข้าไปหาครูเพื่อขอพักก็ได้รับการอนุญาตอย่างยินดี มีเด็ก ๆ ให้ความสนใจตอนค่ำก็มีเด็ก ๆ มาขอพระ และมาขอให้เอาด้ายมาผูกข้อมือแต่ก็ไม่ได้ทำให้เพราะไม่มีด้าย....


ป่วยไข้ขึ้น จนต้องเปลี่ยนแปลงความตั้งใจ... และความตั้งใจก็เปลี่ยน...

วันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ ออกโปรดโยม ในหมู่บ้านราษฎร์ประสงค์ ได้อาหารมากพอแก่ความต้องการแล้วก็มาฉันที่วัดราษฎร์ประสงค์ ที่นี่มีทั้งพระ พ่อนาคที่เรียมบวชหลายคนรวมทั้งญาติโยมให้ความสนใจพอควรบางคนก็นำจานชามน้ำดื่มมาถวาย บางคนก็จะทำอาหารที่ไม่ใช่มังสวิรัติมาถวาย บางคนก็มาสนทนาหลังจากฉันอิ่มแล้วอาตมาก็มอบอาหารที่ไม่ได้ฉันและฉันไม่หมดมอบให้ไว้
ในใจอาตมา วันนี้คิดจะกลับไปช่วยหมู่สงฆ์ทำงานตามเหตุจำเป็นที่มีเข้ามาให้ต้องตรองหลายรอบ แต่ที่สุดก็ตั้งใจจาริกต่อดีกว่า และวันนี้ได้มาเจอฝนบุกมาแบบจู่โจมชนิดที่ตั้งตัวไม่ทันตอน ๑๑ โมงกว่า เปียกกันยังกะลูกนกตกน้ำชวนให้เป็นไข้เพราะสลับร้อน สลับฝนแบบปุ๊บปั๊บ ๆ จริง ๆ ทำให้นึกถึงอารมณ์ของคนที่ขาดการฝึกก็มักจะแปรปรวนง่ายแบบนี้นี่แหละ แต่หากได้รับการฝึกบ้าง มีการปฏิบัติธรรมบ้างก็จะสามารถควบคุมตนเองได้ ฯลฯ
จากปรากฏการณ์นี้ ทำให้อาตมาเป็นไข้ตัวร้อนจนตัดสินใจว่า หากไข้ไม่ลดคงต้องส่งพี่ท่านได้เพียงเท่านี้แหละ ไปต่อคงไม่ไหว จึงเอ่ยปากบอกไปว่า “ พี่ท่าน ผมคงต้องขอกลับปฐมอโศกก่อนแต่ก่อนกลับขอตั้งใจว่า จะไม่โบกรถ หากมีรถแวะรับเท่านั้นถึงจะขึ้น ” ก็เลยรีบบันทึกภาพลูกหมาตกน้ำ หรือลูกนกตกน้ำเอาไว้คิดว่า จะเป็นภาพสุดท้ายแห่งการเดินทางมาส่งร่วมกันในคราวนี้ ก้อพอดีฝนซาก็เลยบอกว่า “ งั้นออกเดินร่วมกันต่อไปก่อนนะครับจนกว่าจะมีรถมาแวะรับและนิมนต์ขึ้น ” เดินต่อไปกว่าชั่วโมงร่างกายเริ่มปรับดีขึ้น ๆ จู่ ๆ ก็มีรถแวะมาจริง ๆ
หลังเที่ยงวัน สิ่งไม่น่าเชื่อก็เกิดเพราะปรากฏว่า มีโยมที่อาตมารู้จักมานานมาก ชื่อ คุณจำรัสขับรถ ทะเบียน๔๐๐๔พร้อมสตรีท่านหนึ่งจะเข้ากรุงเทพ ฯ แวะมานิมนต์อาตมาให้ขึ้นรถกลับพร้อมที่จะมาส่งที่ปฐมอโศกและถวายน้ำดื่มพร้อมร่มกันฝนสีขาว แต่ที่สุด เมื่ออาตมาตรวจดูสุขภาพแล้วก็ตัดสินใจเดินจาริกต่อดีกว่า ยังไม่ขอกลับปฐมอโศก หากโยมมาก่อนหน้านี้เล็กน้อยก็คงได้กลับแน่ ๆ นี่แหละ ตัวแปรเฉียดฉิวจริง ๆ หลังจากนั้นก็เดินมาจนถึงบ้านโยมนา ได้พบแม่พี่และน้องออกมานิมนต์ จึงเข้าพักที่บ้าน ส่วนร่างกายอาตมาเองก็ยังคงมีอาการไข้เล็กน้อยปรากฏอยู่ ครั้นทำกิจส่วนตัวและสนทนาครู่ใหญ่อาตมาก็ขอตัวไปพัก


ฝนตกไม่หยุด ก็ช่วยให้โยมได้ฟังธรรมนานขึ้น

วันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ ฝนเทลงมาแต่เช้ามืด เช้าโยมแม่บ๊วย เจ๊ใหญ่ เจ๊นา เจ๊เล็ก มาฟังธรรมและถวายอาหาร จากนั้นโยมวงตามมาสมทบอีกคน กว่าฝนจะหายก็เกือบ ๑๐.๑๐ น.จึงได้ออกจาริกต่อไป
บ่ายนี้ มีรถเก๋ง หมายเลขทะเบียน ษฮ ๙๗๐๗ มาจอดและถวายน้ำดื่ม ขณะเดินทางกันต่อในใจอาตมาก็มีบทประพันธ์ ปรากฏออกมาในใจว่า “ ก้าวต่อก้าววันต่อวัน จิตสนุกสนานตามประสา ผันผ่านกาลเวลา จิตนำพาอยู่กับปัจจุบัน ยามแดด-ฝนตกแบบจู่โจม ต้องหาที่หลบฝนไม่ไหวหวั่น เป็นสปาแดด-สปาฝนแบบธรรมชาติสลับกัน เรียนรู้จนจิตมุ่งมั่นสบาย ๆ เอย ”
เย็นวันนี้เดินมาถึงวัดพ่อตาหินช้างที่ตั้งอยู่ข้างทางริมถนนเพชรเกษมเข้าพบหลวงพ่อเริ่ม ซึ่งท่านมีอายุราว ๆ ๘๗ ปี หรือคือ พระครูพิพิธกัลยาณธรรม เจ้าอาวาส ฯ ขอเข้าพักซึ่งท่านก็อนุญาตให้พักได้ โดยให้พักที่ศาลาฉัน หลังทำกิจส่วนตัวแล้ว ก็มีโยมเจี๊ยบกับ สณ.ไก่มาสนทนาธรรมอย่างสนใจ และได้ทราบว่า หลวงพ่อเคยถูกโจรมาขโมยเงินไม่น้อยกว่าสองครั้งกว่าสองหมื่นบาทจนทำให้วิหารหรือกุฏิที่ท่านพักต้องใส่ประตูกรงเหล็กทุกด้านดูแล้วก็น่าสงสาร ส่วนตัวอาตมาที่ต้องฝึกเพิ่มในช่วงนี้ก็คือ การต้องเริ่มฝึกฟังสำเนียงคนใต้ที่พูดกับเราล่ะนะทีนี้ฟังสำนวนแล้วก็ยากเอาการ


การสนทนาเริ่มแปลก ๆ แนวคำพูดเริ่มเปลี่ยน ด้วยการ แลงใต้ ๆ ก็พยายามแลง...พบคนหิวธรรม คนตั้งใจมาทำบุญ คนตั้งใจมาพบเห็น...

วันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ การพักในวัดที่อยู่ติดถนนในค่ำที่ผ่านมาจนเช้านี้ได้นอนฟังเสียงรถแล่นไปมาและเสียงฝนที่ตกลงมาทั้งคืน กระทั่ง ๐๖.๓๐ น. พี่ท่านและอาตมาออกโปรดญาติโยมมีฝนลงมาปรอย ๆ ก็ต้องกางร่มไปด้วยก็ได้ขนมและกล้วยเล็บมือนางมามากพอสมควร
เช้านี้ โยมบุณณดาแม่ของเจ้าลูกหมู ว่าที่คุณหมอ...ส่งข่าวบอกมาว่า จะมีโยมปัทมา พี่สาวที่ดูแลเจ้าลูกหมูแต่เด็กกับพี่เขยที่อยู่บ้านตาเงาะ โดยต้องเข้าไปจากปากทาง ที่อาตมาเดินผ่านมาแล้วอีกกว่า ๑๐ กม....จะมากราบและทำความรู้จักกันไว้ ปรากฏว่าโยมพี่เขยมาไม่ได้ด้วย เธอจึงมาตามลำพังกับโยมผู้หญิงอีกคนและลูกน้อย จะด้วยเพราะฝนตกถนนลื่นและจะด้วยความรีบประกอบกัน รถก็มาล้มจนได้รับบาดเจ็บเป็นแผลด้วยเพราะเอาตัวเองและแขนรองรับลูกไว้ไม่ให้เป็นอันตรายจนมาถึงวัดพ่อตาหินช้างได้ นี่แหละหัวใจของแม่ที่น่าอนุโมทนาและอาตมาต้องขอจดจำโยมไว้จนตลอดชีวิตในวีรกรรมของโยมครั้งนี้....
วันนี้ตั้งใจจะให้พรญาติโยมที่มาทำบุญแต่ก็พบว่า เสียงเครื่องไฟของวัดดังมากเกินไปเทศน์ไม่ได้ จึงบอกโยมว่า เอาไว้เมื่อไปถึงบ้านโยมก็แล้วกัน จากนั้นลงมือฉันข้าว หลังฉันกล่าวอำลาแล้วอาตมาและพี่ท่านก็จาริกต่อ เกือบ ๆ เที่ยงวัน ได้มาพบเจ้านุช ทิวา ศิษย์เก่าและลูกสาวเจ้าหนูเจแปนพร้อมแม่และน้องโดยบังเอิญ เธอพากันเข้ามากราบและทักทายด้วยความดีใจ อาตมาก็ซักถามทุกข์ – สุข พร้อมทั้งขอเบอร์โทรศัพท์ไว้เผื่อว่าจะได้มีโอกาสติดต่อในอนาคต
สนทนาอยู่ครู่ใหญ่ฝนหยุดลงเม็ด เจ้านุชขอตัวไปถ่ายภาพน้อง ๆ ที่มาใช้บริการเธอให้ช่วยทำการถ่ายภาพให้ อาตมากับพี่ท่านจึงออกเดินต่อ ก็พบญาติโยมมาถวายน้ำหลายชนิด หลายขนานและหลายเจ้าในร้านอาหารและต้องรับมา ที่สุดน้ำเปล่าก็ต้องแบ่งวางไว้ตามที่พักคนเดินทางเผื่อคนเข้ามาพักเพราะไม่เช่นนั้นจะหนักมากเกินไปจนมีผลต่อฝ่าเท้าที่อาจจะแตกหรือพอง และน้ำบางชนิด เช่น น้ำผลไม้ ก็มอบให้โยมที่ขับเมล์เครื่อง ทะเบียน กรง ๑๕๗ ชุมพร อีกถุงใหญ่ ให้ไปแบ่งกับเพื่อน ๆ
จนกระทั่งเวลา ๑๖.๒๖ น. ก็มาถึงร้านวนิชาภัณฑ์ ของกลุ่มญาติธรรมที่อำเภอท่าแซะ จ.ชุมพร และคุณแป๊ด เจ้าของร้านได้ให้ลูกน้องพามาพักที่บ้านสร้างใหม่หรือจะพักที่ห้องแถวในพักค่ำนี้ก็แล้วแต่จะเลือก...


ตาโต..ด้วยความเข้าใจผิดและพี่ท่านก็เจิมเป็นนะ...

วันที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เช้าวันใหม่ที่ห้องแถวข้าง บขส.ท่าแซะ มีโยมนงค์ โยมล้วน โยมผึ้ง คุณแป๊ด ผู้ถวายร่มกันฝนเพื่อให้การเดินทางลงตัวมากยิ่งขึ้น และอีกคนจำชื่อไม่ได้นำอาหารมาทำบุญ ก่อนฉันได้ให้โยมเข้าถึงพระรัตนตรัย หลังจากพิจารณาอาหารแล้วได้ยินการสนทนาในวงอาหารโยมล้วนคุยถึงเรื่องของวิเศษ ที่โยมได้รับมา คือ ความวิเศษจะสามารถกันแดดได้ กันฝนได้ แต่อยู่ในข้อแม้ หากออกนอกของวิเศษก็เจอแดด เจอฝนทันที นี่แหละวิเศษแท้ ๆ ฟังตั้งนานที่แท้ คือ ร่ม อีกเรื่องคือ ปลาร้าเจหลน โยมผึ้งหรือครูผึ้ง เป็นชาวอีสานมาอยู่ใต้ ทานด้วยความเอร็ดอร่อย โยมล้วนก็พรรณนาสรรพคุณเป็นสำเนียงคนใต้ว่า.. “ ปลาร้านี่...สีหล่น ” เท่านั้นเอง อาการ ร๊อยจังฮู๊ ของครูผึ้งก็สะดุดและทำตาโตเหมือนจะคายทิ้ง ยายล้วนเห็นอาการดังนั้นแล้วก็รีบพูดเป็นสำนวนคนใต้ว่า “ ม่ายช่ายพันนั๊น ๆ คือ หว่า ปลาร้า นี่ คนชื่อ สี๊ เป็นคนหล่น ม่ายช่าย สีมันหล่น ” ปรากฏว่า ทั้งวงรวมทั้งอาตมาเองที่นั่งฉันอยู่ไม่ห่างนักก็ต้องหัวเราะออกมาพร้อม ๆ กัน
๑๐.๑๐ น. ก่อนออกเดินทางแม่ค้าขายของด้วยรถซาเล้ง ซึ่งห้องพักที่อาตมาพักนี้ เธอก็มาเช่าต่อโดยเข้ามาทำความสะอาดเรียบร้อยกำลังจะเตรียมขนย้ายของเข้ามา แต่อาตมาเดินมาถึงก่อนและเจ้าของห้องเช่าคือ คุณแป๊ดเธอก็นิมนต์ให้เข้าพักตอนที่มาถึง ก็เลยได้เจิมห้องพักให้ ๑ คืน โยมก็เต็มใจโดยเข้ามานิมนต์ให้พี่ท่านช่วยเจิมรถให้ ท่านก็มีใจเมตตาเจิมให้ด้วยคำว่า “ ยิ้มทุกที เมื่อมีลูกค้า ” โยมก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ยกมือไหว้ขอบคุณแล้ว อาตมาทั้งสองก็จากลา เดินมาสักครู่ ก็มีฝนลงเม็ดมาปรอย ๆ
ออกเดินทางกางร่มจนกระทั่ง ๑๓.๐๐ น. มาถึงเส้นทางลัดเข้าสั่งหวัดชุมพร จึงหยุดพักข้างทางราว ๆ ๑๐ กม.จึงจะถึงชุมพรที่ ๆ นั่งพักมีแมวน้อยอาศัยอยู่ก่อนเขาก็มาเล่น มาสนทนาด้วย ตามประสาสัตว์ขี้ประจบเอาใจที่อยู่กับมนุษย์มากที่สุดชนิดหนึ่งอาตมาก็เลยล้อเขาเล่นพอให้เพลิน ๆ
กว่าห้าโมงเย็นก็มาถึงตัวจังหวัด ก็แวะมาที่บ้านญาติธรรมคือ ที่บ้านของโยมมนูญ อายุ ๖๘ ปีแล้ว และโยมแม่บ้านที่อายุ ๗๑ คือ ห่างกันสามปีแต่มีสุขภาพแข็งแรง บ้านอยู่ติดกับร้านแว่นท็อปเจริญ ญาติโยมหลายคนที่รู้ข่าวการจาริกก็มาหา มาสนทนากัน พอพลบค่ำต่างก็กราบลากลับไปโดย ทีมสุดท้ายก็คือ โยมมนูญที่นั่งคุยมาตลอด กับโยมแม่บ้านก็พา นายเศรษฐี ลูกชาย ที่เดินทางจากกรุงเทพ ฯ มาเยี่ยมบ้านพอดี เข้ามาสนทนาและก่อนกราบลาแยกย้ายกันไปพักก็ได้ชื่อใหม่จากพี่ท่าน เป็น นายเศรษฐีบุญ ซึ่งทั้งครอบครัวก็ยินดีอนุโมทนา กระทั่ง ๒๑.๐๓ น. จึงได้กราบลา ส่วนอาตมาเองกราบภันเตแล้ว ก็พักผ่อน


ญาติเก่า ญาติใหม่ ให้ความสนใจมาก และพบแฟนคลับของหลวงพ่อชา...

วันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เช้าวันใหม่ ได้ยินพี่ท่านสนทนาธรรมกับโยมทางโทรศัพท์และซักถามช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ซึ่งนี่เป็นเรื่องปกติทุกวันที่อาตมาได้มาพบเห็นในการเดินทางครั้งนี้ ก่อนฉันมีโยมหมอไพรัช ญาติธรรมเก่าแก่ อายุ ๗๘ ปี โยมบอกว่าแม่บ้าน อายุ ๘๐ กว่าแล้วไม่ได้มาด้วย นอกจากนี้ก็มีโยมประสงค์ เพื่อนของคู่เขยโยมช้าง โยมเล็ก ชุมพรที่เคยเป็นผู้นำพาคนมาเข้าค่ายที่ปฐมอโศก ก็มาฟังธรรมก่อนฉันพร้อมครอบครัวโยมมนูญ หลังฉันแล้วประมาณ ๐๙.๐๐ น. ก็กล่าวลาและออกจาริกต่อ การเดินทางเช้านี้ได้เดินบนรางรถไฟในระยะสั้น ๆ ซึ่งได้เหงื่อเต็มที่เพราะเดินบนราง ไม่ได้เดินบนไม้หมอน อาตมาประทับใจแบบนี้มาก
จนกระทั่ง ๑๙.๐๐ น.มาพักที่วัดพะงุ้นห่างจากชุมพร ๓๘ กม. ก็ทำกิโลได้มากพอสมควรในวันนี้ วัดนี้ห่างจากอำเภอสวี ราว ๆ ๗ กม.เมื่อได้สนทนากับหลวงพ่อเจ้าอาวาส พบว่าท่านรู้จักและศรัทธาภันเตเสียงศีล ชาตวโร หรือ หลวงพ่อชา... เป็นอย่างดีทั้งทางวิทยุที่ฟังมานานและทางทีวี สถานีโทรทัศน์เพื่อแผ่นดิน ที่ท่านติดตาม ด้วยชอบนำพาญาติโยมปลูกต้นไม้ ปลูกพืชผัก แถมเปรียบกับภันเตจันทร์ว่า ไม่ค่อยจะสนใจ เอาธรรมะแบบที่กินได้เคี้ยวได้ ดีกว่า อาตมาก็อดยิ้มในใจกับแฟนคลับของภันเตท่านเสียไม่ได้


หลวงพ่อน้อย...ฝากแนะนำพ่อท่านให้สอบเพื่อรับใบตราตั้งพระอุปัชฌาย์

วันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เช้านี้ หลังจากลาท่านเจ้าอาวาสแล้ว ได้พบพ่อหลวงน้อย พิพิธ หรือพระครูรัตนาพร เป็นพระลูกวัดท่านในวัดพะงู้น ซึ่งท่านมาสนทนาเมื่อคืน ก็มาฝากข้อเสนอต่อ ขณะที่อาตมากำลังจะออกโปรดสัตว์พร้อมจาริก ฯ ท่านให้ช่วยไปแนะนำหรือถวายความเห็นให้พ่อท่านเข้าสอบใบตราตั้งเป็นอุปัชฌาย์พิเศษซะ วงในก็จะรู้ว่าต้องใช้เงินเพียงสองหมื่นให้เลขา ฯ ก็สอบได้แล้ว หากจะขอเป็นพระชั้นราช ฯ ก็ห้าแสนถึงหนึ่งล้านก็ได้แล้วนี่เห็นกันเองนะ ก็เลยบอกให้ทราบ...อาตมาฟังแล้วก็ไม่รู้จะไปกราบเรียนพ่อท่านดีหรือไม่ ! แม้การบันทึกนี่ก็เช่นกันจะเหมาะหรือเปล่า... อำลาท่านแล้ว เดินต่อมาพบเจ้าหนูชื่อเก่งกาญจน์ ออกมาใส่บาตร เธอบอกว่า “ หนูอยากเป็นครู ” อาตมาก็เรียกเธอว่า “ คุณครูเก่งกาญจน์ ” เธอยิ้ม นอกจากนี้มีโยมขับรถผ่านมา ร่วมใส่บาตรด้วย ชื่อ โยมกุศล ผ่านมาเห็นก็เข้ามาสนทนาและใส่บาตร และมีโยมที่คุณเล็ก ชุมพร ส่งข่าวบอกมา ก็ใส่น้ำกว่าสามขวดและจากนั้นเดินจนถึงตลาดอำเภอสวีกว่า ๗ กม.มองหาที่ ๆ เหมาะสมก็มาได้ที่ฉันข้างๆ ที่ทำการไปรษณีย์ซึ่งมีห้องน้ำให้บริการครบสมบูรณ์ อีกทั้งโยมในที่ทำการ ฯ ก็นำผลไม้มาถวายสมทบอีกสองถุงใหญ่ บางคนก็มาซักถามสนทนา จนกระทั่งเสร็จเรียบร้อย การเดินทางช่วงนี้เจอฝนก็เดินฝ่าสายฝนเย็นฉ่ำ เหลืออีก ๗ กม. จะถึงทุ่งตะโกจึงนั่งพักข้างทาง ออกจากที่พักพี่ท่านก็เข้าไปถามโยมที่นั่งข้าง ๆ ทางเป็นหนุ่มหน้าตาซื่อ ๆ ว่า “ โยม เส้นทางไปวัดข้างหน้านี้ จะลัดไปจังหวัดสุราษฎร์ ฯ ได้ไหม ? ”โยมคนหนึ่งบอกว่า “ ไปม่ายด้าย พ่อหล๊วง ” อาตมาจึงหันไปถามโยมอีกคนว่า “ แล้วหากจะไปสุราษฎร์ ฯ ทางนี้ มีทางเลี้ยวไปสุราษฎร์ไหม ” โยมคนนั้นก็บอกว่า “ ทางตรงจากนี้ ไปถึ๊งแข๋วัด...พ่อหล๊วงต้องเลี้ยวทางขว๊า ถึ๊งจะมีทางไปสุราษฎร์ด่าย ” อาตมาก็เดินอมยิ้มไปกับความซื่อ ๆ ของโยมไปตลอดทาง....จนเกือบค่ำก็ถึงที่วัดธรรมถาวร ต.ทุ่งตะไคร อ.ทุ่งตะโก โดยหลวงพ่อตุด หรือพระมุนีสารโสภณ เจ้าคณะจังหวัดชุมพร และเจ้าอาวาส (ธ) หมายเลขโทรศัพท์ ๐๗๗ – ๕๓๖๐๑๑ ซึ่งตอนไปกราบขออนุญาตเข้าพักท่านมีเมตตาสอนเรื่องสมถะ-วิปัสนา และยังสนทนาเรื่องต่าง ๆ ฟังกันเพลินรวมทั้งเล่าสถานการณ์ใต้ตามจริงให้ฟังนานพอสมควร หลังจากนั้นท่านขอให้ลงลายมือชื่อ ฉายา พรรษาและสังกัด...ก่อนจะให้พระอีกรูปหนึ่ง ทราบภายหลังว่าชื่อ หลวงพี่ปาน พาเข้าพักที่กุฏิ
ค่ำนี้มีการติดต่อโยมจุฬา และคุณสุภิญญา สืบข่าวเกี่ยวกับวิทยุชุมชนและการประชุม ฯ อันเป็นอีกหน้าที่ที่รับผิดชอบ


ได้รับเมตตาอย่างสูงยิ่งจากหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดชุมพร การขวนขวายบุญของเจ้านุช...และคำอุทานของยายปรานี...

วันที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เช้าภันเต ตื่นมาก็ได้ยินการสนทนาโทรฯหาคนนั้น คนโน้นตามปกติที่เคยทำ ๐๖.๔๐ น.เจ้านุช ศิษย์เก่า พาแม่ ตา ยาย ทำกับข้าวมาถวายอาหารและคุณตาก็ชวนสนทนาเล่าเรื่องต่าง ๆ ในอดีตของตาให้ฟังอย่างสนุกสนานโดยเฉพาะเรื่องก่อนจะมีครอบครัว ก็บวชอยู่นานจนได้รับการนิมนต์ไปที่นั่น ที่นี่และจะมียศตำแหน่งมาให้ก็เห็นว่า ไม่ไหวเหนื่อย หนัก เลยสึกออกมา ที่ไหนได้มาพบภาระการรับผิดอบหนักกว่าอีก ฯลฯ จนกระทั่งอิ่มจึงได้จากลา ก่อนออกมาได้ถ่ายรูปกับหลวงพี่ปานที่มาดูแลตามบัญชาหลวงพ่อแต่วานนี้ เรียบร้อยจึงพร้อมเข้ากราบลาหลวงพ่อตุดเจ้าคณะจังหวัดแล้วเดินทางต่อไป
ออกจากวัดมาถึงปากซอยเจริญทรัพย์สู่ถนนเพชรเกษม ฝนลงเม็ดหนาเม็ด มีลมแรง ขณะที่ภันเตรับโทรศัพท์แล้วหลบไปสนทนามุมไหนไม่รู้ข้างทางก่อนออกปากซอย อาตมาก็เดินมาเข้าพักที่ศาลารอผู้โดยสารริมถนนใหญ่ พบว่า มีโยมแม่ลูกขี่รถเครื่องเจออุบัติเหตุโดยรถอีกคันมาเฉี่ยวล้มแล้วหนีไปน่าสงสารแท้ พี่น้องคนใต้ที่ตามหลังมาก็เข้าไปช่วยกันนำรถขึ้นมาให้ แล้วสองแม่ลูกก็ต้องจูงรถไปหาที่ซ่อมทั้งที่ฝนก็ยังตกหนักอยู่...เมื่อฝนซาก็ออกเดินทางต่อในระหว่างจะถึงอำเภอหลังสวน ได้พบบ้านของโยมปราณีที่ตั้งชื่อบ้านตนเองว่า “ บ้านบุญปราณี ” ออกมานิมนต์ให้เข้าไปฉันข้าว – ดื่มน้ำก่อน ก็บอกว่า เราฉันอาหารมังสวิรัติมื้อเดียวและวันนี้ก็ฉันมาเรียบร้อยแล้ว ขณะนั่งสนทนาและดื่มน้ำก็ทราบทุกข์ของโยมที่เพิ่งสูญเสียสามีที่ตัดสินใจจากลาโลกนี้โดยการแขวนคอตนเองตาย โดยสามีก่อนตายมักพูดว่า ถึงเวลาของเขาแล้ว โยมเล่าไปก็เศร้าไปด้วยครอบครัวสามีมักเลือกตายแบบนี้แต่สมัยทวด ตกมาสมัยปู่ จนมาถึงพ่อ และตัวสามี.... พี่ท่านก็แสดงธรรมให้คลายใจก่อนจะขออำลาเดินทางต่อ โยมนำเงินใส่ซองมาถวายคนละ ๓๐๐ บาท หลังจากที่รับซองมาและกล่าวอนุโทนาในบุญกุศลที่ตั้งใจทำแล้วก็อธิบายว่า ผู้มาบวชเป็นพระที่แท้ต้องไม่รับเงิน ไม่ใช้เงิน ไม่เก็บสะสมเงิน ฯลฯ โดยเด็ดขาดจะมีความผิดตามพระธรรมวินัย...จนโยมเข้าใจแล้วรับฝากคืนกลับสู่โยมให้นำเงินไปทำบุญต่อ โยมปราณี ถึงกับอุทานออกมาถึง ๘ – ๙ ครั้งหลังจากที่ถูกปฏิเสธการรับเงินถวายแล้วอุทานออกมาว่า “ ชั้นอายุกว๊า ๗๐ ปีหล่าว ไม่เคยเห็นที พระพันนี้ เพิ่งเคยเห๊น ” ก็ต้องนั่งสนทนากันต่อ เดี๋ยวก็พูดประโยคเดิมอีก “ ชั้นอายุกว๊า ๗๐ ปีหล่าว ไม่เคยเห็นที พระพันนี้ เพิ่งเคยเห๊น ” อาตมาก็เลยขอเบอร์โทร ฯ บ้านโยมไว้หลังจากที่โยมปวารณาและนิมนต์ให้มาฉันอาหารได้หากผ่านมา เสียดายมาคราวนี้ฉันได้แต่น้ำ หมายเลขบ้านโยม ๐๗๗ – ๕๔๕๐๑๕ จากนั้นเดินกันต่อจนเย็นก็มาถึงอำเภอหลังสวนและขอหลวงพ่อเข้าพักที่วัดประสาทนิกร ท่านก็อนุญาตจึงมาพักที่ศาลา...


ลุงหรั่งจำคำพระสอนว่า..สุรากินเป็นระยะ ๆ ด่าย วัดไหนสอน รึ นี่

วันที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ อากาศและพื้นศาลาเป็นพื้นปูนจึงเย็นพอสมควรชวนให้ต้องฝึกนอนน้อยไปด้วย เช้านี้มีเสียงไก่ขันปลุกแต่มืด พอเห็นแสงอาทิตย์ก็ได้ขอลาพระในวัดออกโปรดญาติโยมในตลาดหลังสวนได้พบโยมที่พอจะรู้จัก เป็นญาติธรรม บ้างเช่น คุณยุพา ขายหมี่ขายกะปิเจในตลาด พอมีอาหารพอแล้วเข้าไปฉันที่ศาลเจ้า ชาวจีนไหหลำสวยงามมาก
จากนั้นมุ่งหน้าสู่อำเภอละแม เหลือระยะทาง ๑๖ กม.จึงหยุดพัก และอีก ๗ กม.สุดท้ายที่จะถึง ก็ได้พบลุงหรั่ง ส่งเสียงมาแต่ไกลเพื่อมานิมนต์ให้พักที่กระท่อมของแก ที่จริงก็คือ บ้านน่ะแหละ แต่เต็มไปด้วยกรงและนกหลายตัวทั้งวาง ทั้งแขวน สมาชิกในบ้านไม่มีใครอยู่ด้วย แต่ที่สำคัญ คือ ลุงเป็นนักดื่มเหล้าจนเป็นปกติและบอกว่า จะมีก็เฉพาะในตอนเย็นๆ เมื่อได้พูดคุยรายละเอียดทำให้ทราบว่า ลุงหรั่ง ไม่รู้ไปฟังพระวัดไหนมา ท่านสอนให้เข้าใจผิดมาโดยตลอดว่า สุราน่ะกินเป็นระยะๆได้ ซึ่งจำเลยก็ได้สารภาพออกมา “ ลุงดื่มเพียงวันละขวดกระทิงแดงเล็ก ๆ เท่านั้น คิดเป็นเงินก็ประมาณ ๒๐ บาทเอง ” พี่ท่านก็เทศน์ให้เกิดความเข้าใจโยมเสียใหม่ และไม่ได้รับนิมนต์พักค้างในคืนนี้หลังจากพิจารณาแล้ว
หลังดื่มน้ำและขึ้นไปนั่งบนบ้านลุงหรั่งเป็นการให้กำลังใจสนองในศรัทธาพอสมควรแล้วกล่าวลา ได้มาพบคุณแม่ลูกสอง คนเล็กชื่อ เจ้าหนูสตังค์ เป็นเด็กเธอหญิงจากการสนทนาทราบว่า เธอตั้งจิตอยากเป็นหมอ ส่วนลูกชายชื่อเจ้าไตรรัตน์ ตั้งจิตอยากเป็นนายตำรวจ อาตมาเลยเรียกทั้งสองคนว่า “ เจริญธรรมคุณหมอสตังค์และร้อยตำรวจเอกไตรรัตน์ ขอให้เธอเป็นเด็กดีนะ ” เด็กทั้งสองยิ้มแล้วก็รับปากแล้วจากนั้นถวายน้ำอาตมารับและอนุโมทนา เดินต่อมาอีกหน่อยก็พบสองหนุ่มนักเรียนนำน้ำมาถวายสองคนนี่คนหนึ่งปรารถนาจะเป็นช่างไฟฟ้า และอีกคนอยากเป็นทหาร ก็อนุโมทนา เดินมาจนค่ำก็ถึงวัดและขอเข้าพักกับหลวงพ่อดำเจ้าอาวาสและเป็นเจ้าคณะตำบลสวนแตง ชื่อวัดสุวรรณธาราราม ต.สวนแตง อ.ละแม จ.ชุมพร ท่านเมตตาอนุญาตจัดที่พักให้อย่างดี ครั้นสรงน้ำอาตมากราบภันเตแล้วพักผ่อนเพื่อวันต่อไป


พบยอดคุณแม่ และยอดคุณพ่อ...

วันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ กลางดึกมีลมกรรโชคแรงพร้อมฝนสาดเข้ามาทางหน้าต่างถึงกลางห้องครู่ใหญ่จนอามาต้องออกมาปิดหน้าต่าง เช้านี้ไก่ขันเสียงใสปลุกแต่มืด ๐๖.๑๐ น.ลาหลวงพ่อดำออกโปรดสัตว์และจาริก ออกจากพื้นที่จังหวัดชุมพรก้าวเข้าสู่พื้นที่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี จนกระทั่งถึงบ้านแม่อาบ ผู้มีอายุ ๗๔ ปี โยมพ่อสนาน อายุ ๘๗ ปี ซึ่งเป็นโยมพ่อ โยมแม่ของคุณอุ๊ ที่หน้าสถานีรถไฟคันธุลี ได้สนทนาอย่างสนุกสนานและฉันข้าวจากที่ออกบิณฑบาตมาได้และที่โยมแม่ทำมาถวายรสชาติถึงใจสมคำโฆษณาของคุณอุ๊ผู้เป็นลูกสาวได้ภาคภูมิใจ
๑๑.๑๑ น. จึงจากลาและจาริกต่อโดยโยมทั้งสองเอ่ยปากนิมนต์ให้แวะมาทุกครั้งที่มีโอกาสผ่านมา รับอนุโมทนาแล้วเดินทางต่อไป.. จนถึงอำเภอท่าชนะ ถึงได้นั่งพัก ๑๖.๐๐ น.พบทางแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๑๑๔ ไปชายทะเลเส้นนี้แยกออกจากสาย ๔๑๑๒ เป็นเส้นทางจากอำเภอละเเม มาอำเภอหลังสวนจนมาถึงอำเภอท่าชนะ และจากนั้นก็มาถึงวัดสุมังคลาราม ตำบลท่าชนะ อำเภอท่าชนะ พบหลวงพ่อจุกอนุญาตและพาพักที่กุฏิ ทั้งวัดตอนนี้มีเพียงพระสองรูปเท่านั้น อาตมากับพี่ท่านมีการสนทนาเป็นการคิดจัดสรรรูปรอยแห่งชีวิตอนาคาริกของเราในอนาคต


ได้พบคนที่บุญ(มา)หา และ มาหาบุญ...

วันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เสียงไก่ขันปลุกแต่มืด ลาพระออกจากวัดสุมังคลารามออกโปรดสัตว์ซึ่งหลวงพ่อที่วัดท่านพยายามนิมนต์ให้อยู่ฉันด้วยกันด้วยเหตุวันนี้เป็นวันพระญาติโยมจะได้มาฟังธรรมซักกัณฑ์ก่อนแต่พี่ท่านและอาตมาก็ไม่ได้รับนิมนต์โดยบอกถึงภารกิจและการฉันอาหารที่ต่างกัน ท่านก็เข้าใจ เมื่อเดินมาได้ข้าวสุกขนมสดมากพอควร การโปรดโยมในเช้านี้ถือได้ว่า เป็นการเรียนรู้การยืนบาตรครั้งแรกอย่างเป็นจริงเป็นจังที่ภาคใต้ต่างจากที่อื่น จนกระทั่งก่อนจะถึงวัดอัมพาวาสเล็กน้อย มาถึงบ้านโยมพิน วัย ๗๓ ปี กับโยมบุญหา ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากวัย ๖๖ ปี กับ หลานนุ้ย จุฑามณี นักเรียนชั้น ม.๓ โดยเฉพาะโยมยายบุญหา นิมนต์ใส่บาตร อาตมาก็เลยบอกพี่ท่านหาที่ฉันดีกว่า ที่นี่ก็เหมาะนะ จึงขออาศัยบ้านนี้เป็นที่นั่งฉันข้าว โยมเจ้าของบ้านอนุญาตแล้วก็นิมนต์เข้าฉันในบ้าน อีกทั้งนำผลไม้มาถวายเพิ่มเติมและต่อมาก็มีเพื่อนบ้านผู้ชายมาร่วมสนทนาธรรมขณะฉันเพิ่มอีก ๒ คน ยิ่งทำให้ชัดในคนใต้ที่มีปัญญาโดยเฉพาะในเรื่องจตุคามรามเทพที่มีมากมายที่ญาติโยมก็ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้น และขณะเดียวกันโยมครอบครัวนี้ก็มีความตั้งใจจะไปทำบุญแต่ด้วยอายุมากและยากจนจึงไม่ค่อยได้ไปนับว่าโชคดีเมื่อพระธุดงค์มาโปรด จนกระทั่ง ๐๙.๐๙ น.อิ่มและอนุโมทนาแล้วกล่าวอำลา...... เดินกันต่อจนกระทั่ง ๑๑.๐๐ น. ได้แวะพักที่ศาลาริมทางขณะฝนตกพอดี หลังฝนซาเดินมาเล็กน้อยโยมนิมนต์เพื่อสนทนาและถวายน้ำดื่มถวายน้ำชา จากนั้นเดินทางต่อก็พบว่าแดดร้อนสลับมาอีก จึงหยุดพักที่ศาลาอีกครั้งโดยที่ศาลานี้มีศาลพ่อตาถนนจากการนั่งอยู่นานพอสมควรสังเกตว่า ที่นี่รถผ่านไปมาต้องกดแตร...เสมอ ๆ ก็คิดว่า น่าจะมีอะไรซ่อนอยู่ในสิ่งที่ปรากฏ
เดินต่อมา พบโยมสี่คนมีคุณตา คุณแม่ เจ้าหนูวีนฟันหลอ ที่หัวเราะดังจอมซนอายุราว ๆ ๓ ขวบและอีกคนคือลูกชาย ชื่อ คมกฤษ ได้นิมนต์ให้แวะดื่มน้ำ จากนั้นก็มาพบร้านอาหารอีกแห่งหนึ่งติดภาพลุงจำลองตอนถูกจับเดือนพฤษภา เจ้าของร้านชื่อ สาวแจ๊สคน เป็นคนอุทัยธานี กับ ลา หนุ่มใต้หนวดจิ๋มผู้พิชิตใจสาวงามแต่สมัยเรียนราม ฯ ได้นิมนต์ดื่มน้ำ... ครั้นเดินทางต่อก็เกือบค่ำมองหาวัดเพื่อเป็นที่พัก ก็ได้พบโยมสตรีอีกท่านหนึ่ง ชื่อโยมบุญ อายุ ๘๕ ปีเป็นโรคผิวหนังจากผิวปกติค่อย ๆ ลอกจนกลายเป็นคนเผือกนิมนต์ดื่มน้ำ โดยให้เจ้าซันหลานชายเป็นผู้ถวายและแนะนำวัดใกล้ ๆ ให้เข้าพัก นั่นคือวัดพระประสพ เมื่อเข้าไปในวัดพบหลวงพี่จงรัก ได้มอบกุญแจกุฏิหลังที่ ๔ ให้เข้าพักเนื่องจากหลวงพ่อเจ้าอาวาสไม่อยู่ ตอนค่ำมีพระในวัดเพิ่งบวชได้ไม่นาน ชื่อหลวงพี่หนุ่มและสามเณรมาสนทนาซักถามครู่ใหญ่ จากนั้นก็กราบลาไปพักผ่อน
ท่าชนะ..คำนี้. หรือ ถ้าจะแพ้...ใจตนเสมอ ๆ หนอมนุษย์...

วันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เสียงไก่ปลุกแต่เช้าภันเตตื่นมาโทรศัพท์คุยกับโยมตามปกติ ซึ่งความคุ้นเคยแบบนี้ในใจอาตมารู้สึกเป็นห่วงและน่าที่จะระวัง ฯลฯ พอดีเรามาถึงท่าชนะ อาตมาก็เลยมีกลอนสั้น ๆ ออกมาจากใจว่า….
“ การจะถึงซึ่งท่าชนะ
แท้หรือเทียมจึงจะได้พิสูจน์ได้
ต่อไปแสงแห่งปัญญาจะใสหรือริบหรี่อย่างไร
ดังหลวงพ่ออโสโกพูดไว้ หรือไม่เอย....”

วันนี้โปรดสัตว์ที่ไชยาและฉันที่ศาลเทพเจ้ากวนอู ซึ่งกำลังปรับปรุงภายในศาลใหม่โดยเมื่อฉัน....
เสร็จแล้วเดินต่อจากอำเภอไชยามุ่งหน้าไปทางกิ่งอำเภอวิภาวดีเพื่อทะลุไปที่อำเภอคีรีรัตน์ กลางวัน ๆ นี้ธรรมชาติส่งแสงแดดลงมาร้อนมากเป็นพิเศษอาจเพราะเจอฝนติดต่อกันมานานหรือไงไม่ทราบ จึงต้องแวะหลบร้อนที่บ้านโยมติ๋ม ผู้ชอบเล่นหวย กับ เจ้ากุ๊ก ลูกสาวที่เรียนอยู่ชั้น ม. ๑ พี่ท่านจึงสอนโยมในเรื่องหวยจนเข้าใจ จากนั้นเมื่อออกเดินทางต่อมีโยมแนะนำให้มาทางลัดไปอำเภอคีรีรัตน์ และขณะเดียวกันเมื่อเดินมาถึงพื้นกิ่งอำเภอวิภาวดี มีโยมแนะนำทางลัดให้อีกจนกระทั่งบ่าย ขณะที่ทีมโยมพิมที่เดินมาจากกรุงเทพ ฯ เพื่อมาต้อนรับทีมอาตมานิมนต์มาโปรดโยมพ่อ โยมแม่ ก็ตามหาที่จะพบกันพักใหญ่ ๆ ก็ตามหาจนพบเมื่อสนทนาเล็กน้อยก็แยกกันไป ด้วยเส้นทางเดินบางจุดไม่เหมาะกับรถเก๋งที่จะผ่านได้ อาตมาก็เลือกไปตามทางลัดที่โยมแนะนำ เมื่อเดินทางตามทางลัดทั้งที่โยมเขียนแผนที่ และ ไม่ได้เขียนแผนที่ให้ในการเดินทาง เวลาไม่แน่ใจก็เอ่ยถามโยมที่พบว่า ไป....ทางไหน ? อีกไกลมั๊ย ? จะได้รับฟังคำตอบสำเนียงคนใต้ว่า “ พ่อหล๊วง แข ๆ แข ๆ ” ไม่ก็ คำว่า “ ไม่ไก๊ ๔ – ๕ โล ” ก็เดินกันต่อไป ในป่ายางก็เจอคำว่า แข แข แข แข จนกระทั่งค่ำก็ยังไม่สามารถออกจากป่าหรือพบวัดหรือโรงเรียนที่จะเข้าไปอาศัยพักได้ จึงจำต้องมองหาที่พักก็พบบ้านโยมในสวนยางล็อกกุญแจแน่นหนาอย่างดีแต่เปิดไฟทิ้งไว้นอกบ้าน ดูสภาพภายนอกน่าจะไม่มีคนอยู่มานานและมีชายหลังคายื่นออกมาเป็นนอกชานกันฝนได้ ส่วนที่ริมหลังคาก็มีอ่างน้ำฝนมีน้ำขังในภาชนะเล็กน้อยไว้ให้พอได้อาบพอดี อาตมาก็เลือกแขวนกลดพักด้านที่นอกชาน ส่วนพี่ท่านเลือกแขวนกลดที่หน้าประตูบ้าน ด้วยอากาศที่มืดลงและมีที่พักแล้วก็ส่งข่าวบอก โยมพิมว่า “ ไม่ต้องห่วง ” ก่อนนอนอาตมาก็หากระดาษเขียนหนังสือเพื่อขอบคุณเจ้าของบ้าน...เขียนแล้วจึงพักผ่อน นั่งสมาธิในกลด แต่แล้วเวลาผ่านไปจนกระทั่ง สามทุ่มกว่า พบว่า มีรถเครื่องแวะมาหน้าบ้านแล้วขับออกไปออกไปอย่างรวดเร็ว ต่อมา ๒๓.๐๐ น.เจ้าของบ้านกลับมาอีกครั้งจากที่ตกใจตอนแรกคิดว่า ใครมานอนขวางประตูทางเข้าบ้านตนเองจึงกลับไปพาเพื่อนบ้านมากว่า ๗ – ๘ คน มีรถกระบะมาด้วย มีอาวุธมาครบมือที่เห็นคือ ปืนลูกซองแฝด โยมผู้หญิงเจ้าของบ้านก็เข้ามาใช้วาจาไม่สุภาพมากมายใส่ภันเต...พี่ท่านก็ฟัง และพยายามอธิบายพร้อมขออภัยที่มารบกวนโดยเข้าใจผิดคิดว่า ไม่มีใครอยู่และมันมืดที่นี่พอดี แต่ก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้นต่อ โยมอีกคนหันมาเห็นกลดอาตมาที่ห่างออกมา ก็เลยเข้ามาถามจึงได้ให้เขานำจดหมายแสดงเจตนาในการมาพักไปอ่านให้ทราบกันด้วยเสียงดัง
อาตมาจำเนื้อหาที่เขียนไม่ได้นักและไม่ได้บันทึกภาพไว้เนื่องจากมืดซะก่อน แต่เจตนาก็ตั้งใจว่า เมื่อโยมเจ้าของบ้านกลับมาบ้านก็จะได้เห็นคำอนุโมทนานี้เอง แต่เมื่อมาเจอสถานการณ์แบบนี้ ก็เป็นอีกบรรยากาศหนึ่ง ที่หัวจดหมายเขียนประมาณว่า...

ขอเจริญพร มายังโยมผู้เป็นเจ้าของบ้าน ผู้มีน้ำใจ
อาตมาทั้งสองรูปจาริกมาแต่กรุงเทพ ฯ และนครปฐม เพื่อไปยังจังหวัดตรังอันเป็นปลายทางพอดีมาตกค่ำกลางป่ายางและมืดที่บ้านโยมขณะยังหาที่พักยังไม่ได้ จึงขอพักค้างอาศัยเมื่อไม่พบจึงมีจดหมายฝากทิ้งไว้... ............................................................................................................................................................................................................................................................................ตอนท้ายของจดหมายอาตมาก็จึงให้พรมากมาย ให้กับโยมเจ้าของบ้านและลงชื่อพร้อมที่อยู่เรียบร้อย...

ขณะโยมอ่านจดหมายไป เสียงแห่งความโกรธของโยมผู้หญิงเจ้าของบ้านก็เงียบลง อาตมากับพี่ท่านก็เก็บอัฐบริขารอย่างเงียบ ๆ เพื่อเตรียมออกเดินทางต่อด้วยจิตใจที่สงบเป็นปกติ และขณะเดียวกันโยม ผู้ชายที่มาด้วยกันกับเจ้าของบ้านก็มานิมนต์ให้พักที่บ้านเขาแทน ซึ่งก็อยู่ห่างจากที่บ้านนี้ไม่มากนัก อาตมารับนิมนต์แล้ว ก่อนจะไปก็ได้เข้าไปขออภัยเจ้าของบ้านอีกครั้ง นี่ก็เป็นเรื่องที่อาตมาเกิดความความประทับใจในเหตุการณ์ที่ได้รับและอนุโมทนาในการเอาใจใส่ในการเอาภาระดูแลกันในกลุ่มชาวบ้านถิ่นนี้ จน ๒๓.๔๙ น. ก็เดินมาถึงบ้านที่โยมผู้ชายในคณะนิมนต์ไว้ โยมนำเสื่อมาปูให้และนำไฟส่องทางมาถวายพร้อมน้ำใช้ อาตมากางกลดและอนุโมทนาแล้วจึงได้พักผ่อนต่อจนสว่าง

น้ำไหลเชี่ยว ก็แพ้พ่าย น้ำใจผู้ใหญ่สง่า...

วันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ ตื่นเช้าภันเต รับนิมนต์โยมบ้านที่พักนอนที่จะถวายอาหาร แล้วก็รอจนถึง ๐๖.๔๕ น. ออกเดินรับบาตรต่อไป ก็ได้ข้าวได้นมได้ตอหรือ สตอมากมายวันนี้ พี่ท่านกับอาตมาจึงสรุปแกมขำขันเล็ก ๆ ว่า “ มาใต้ ต้องเจอตอ แต่คราวนี้ นอกจากเจอตอแล้ว ยังเจอซอง..ด้วย ” เดินครู่ใหญ่จนออกมาพบทีมโยมพิม โยมพ่อ โยมแม่ และน้อง ๆ นำอาหารมาถวาย โยมพ่อถึงกับกลั้นน้ำตาไม่ไหวเมื่อมาเห็นอาตมาทั้งสองอย่างมีปิติ และอาตมากับพี่ท่านก็ยังไม่ได้เล่าเหตุการณ์ที่พบในรายละเอียดให้ฟังนัก เกือบ ๑๐.๐๐ น. หลังฉันแล้วจึงแยกย้ายกันออกเดินทางต่อโดยโยมพิมกับน้องคือคุณเจี๊ยบได้ลองเดินตามกว่าชั่วโมงทั้งที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ ที่เธอจะกล้าทำแต่ก็สามารถทำได้ ๑๓.๕๕ น.หยุดพักใต้สะพานลอยก่อนถึงกิ่ง อ.วิภาวดี ๑ กม. จากเหตุการณ์เมื่อคืนสร้างความประทับใจยังไม่ทันจาง ตอนเย็นก่อนจะถึงวัดอรัญญาวาส ก็พบผู้ใหญ่บ้าน ชื่อ ผู้ใหญ่สง่า เป็นผู้นำความประทับใจในความเป็นผู้มากด้วยน้ำใจอีกครั้ง ด้วยการช่วยให้การพาอาตมาและพี่ท่านข้ามแพไปยังวัดสำเร็จได้ โดยผู้ใหญ่สง่าต้องลงทุนถอดเสื้อผ้าเพื่อไปลากแพจากฟากโน้นมาถวายให้ข้าม ท่ามกลางน้ำไหลเชี่ยว เดิมแพนี้มีรอกชักไปมาได้แต่คราวนี้รอกขาดการใช้งานมานานด้วยชาวบ้านหันไปใช้ถนนแทน ซึ่งเดิมท่านผู้ใหญ่ก็อาสาขับรถไปส่ง แต่เมื่อทราบปฏิปทาอาตมาทั้งสองที่เดินมาจึงเกิดเหตุการณ์ดังในภาพที่ปรากฏนี้ อาตมาต้องอนุโมทนาอย่างจริงใจและขอบคุณพร้อมจะขอจดจำความดีของโยมตราบนานเท่านาน สาธุ ! ! !
พอข้ามแพแล้วผู้ใหญ่ก็กราบลาแล้วว่ายน้ำกลับฝั่งของบ้าน จากนั้นอาตมาขึ้นจากตลิ่งไปก็พบหลวงพ่อเรืองอายุ ๘๔ ปี พรรษากว่า ๕๐ ให้การต้อนรับและร่วมสนทนาด้วยอัธยาศัยและความเป็นผู้ใจดี และปรารถนาที่จะขอดูหนังสือสุทธิอันเป็นหลักฐานของสงฆ์ชาวอโศกเพื่อถวายให้ดูหลวงพ่อมีความสนใจมากชวนอาตมาสนทนาพอสมควร จากนั้นจึงกราบลามาพักที่ศาลา

น้อมกราบคารวะหลวงพ่อเรือง ด้วยความเคารพยิ่ง...

วันที่ ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เช้านี้ก่อนออกบิณฑบาตหลวงพ่อเรืองหรือพระครูปัญญาราม ปัญญาธโร ขึ้นมาสนทนาบนศาลาแต่มืดสอบถามทางกันแล้วกราบลาท่าน แล้วเดินโปรดสัตว์มาจนพบทีมโยมพิม ตามมาใส่บาตรเป็นวันที่สอง ขณะฉันพบว่า มีสุนัขแสนรู้มาไหว้ หมอบกราบ ประมาณว่า มาขออาหารที่แปลกของหมาตัวนี้สังเกตดู ก็คือ มันมีนิ้วที่ขาหลังยื่นออกมา ๕ นิ้ว
ครั้นอิ่มดีแล้วจึงอำลาเพื่อเดินทางต่อโดยคิดว่า เย็นนี้มั่นใจว่า ถึงที่หมายคือบ้านของพ่อโยมพิม การเดินก็เหมือนทุกวันจะมีโยมนิมนต์ดื่มน้ำที่บ้านน้ำหัก พบคุณสุ (หญิงสาวที่ชอบเคี้ยวหมาก) มาสนทนา และเจ้าของร้านเป็นคนราชบุรี ส่วนสามีเป็นคนเพชรบุรี และ คนในร้านอีกคนเป็นชาว อำเภออู่ทองมาเปิดร้านโดยมีลูกสาวที่กำลังซนชื่อลูกหนูและของอีกคนชื่อเฟิร์นเข้ามากราบ... เดินต่อมาอีกถึงร้านของโยมจำนงค์ ประวิช ปราชญ์ชาวบ้านซึ่งศรัทธาธรรมะแนวพ่อท่านโดยสรุปออกมาเพราะว่า “ จับต้องได้ สัมผัสได้ กินได้ ” สนทนานานพอสมควรก็เดินต่อจนถึงรางรถไฟพาดผ่านที่บ้านยางตามที่โยมบอกและนัดไว้ จึงหยุดพักอยู่ครู่ใหญ่ พอออกเดินไปตามรางรถไฟโยมบอยนายทหารที่เป็นสามีคุณพิมมาร่วมเดินสมทบ และนำน้ำมาถวาย การเดินไปบนรางรถไฟของอาตมาเป็นที่น่าตื่นใจมีความสนุกอยู่ภายในใจอาตมา ยังกับเด็กได้ของเล่นสมัยก่อนก็เกือบสองกิโลเมตรเหงื่อชุ่มตัว...
กระทั่งเวลา ๑๖.๐๗ น. เดินจึงมาถึงบ้านโยมพิม โยมพ่อ โยมแม่และอีกหลายคนที่รออยู่หน้าบ้านด้วยความซาบซึ้งใจที่สมณะเดินมาถึง
โยมเตรียมให้สรงน้ำ พร้อมขอผ้าไปซักครู่ต่อมาฝนก็ตกต้อนรับ เวลา ๑๖.๔๖ น.ภันเตตั้งวงสนทนาธรรม มีโยมฟัง ซักถาม ๑๐ คนกับ ๑ ทารกที่โยมนำมาให้อาตมาอุ้ม พี่ท่านเทศน์เรื่องการดูแลสุขภาพโยมแม่ของท่านที่เคยเป็นคนขยันแต่พอป่วยเดินเหินเองไม่สะดวก จึงมีอาการจู้จี้ และการมีพ่อสมบูรณ์แบบครบเครื่อง(ด้านการเกเร) จึงช่วยให้พบธรรมะและนำมาใช้ปรับใจเป็น,เรื่องคนรวยคือคนซวย,พ่อบ้านแม่บ้านหรือคือพระเอก-นางเอก ของกันและกัน เล่าเรื่องการไปอินเดีย เล่าการป่วยเป็นไข้ และเล่าคืนที่เจอเหตุการณ์ที่โดนไล่หนีและพบเจอผู้ใหญ่สง่าผู้เปี่ยมด้วยน้ำใจอันสุดดี ฯลฯ ในความขาดพิสูจน์ความพอเต็มง่าย ความพร่องง่าย และยกตัวอย่างเรื่องของ ดร.ประมวล เพ็ญจันทร์ ที่ลาออกจากงานราชการขอฝึกตนพิสูจน์ตนด้วยการเดินสู่อิสรภาพมาภาคใต้ทำให้ได้มาสัมผัสพบมนุษยธรรมในหัวใจคนโดยตนไม่มีเงินติดตัวในการเดินทาง การได้รับก๋วยเตี๋ยวชามแรกเท่ากับการให้ชีวิตการต่อชีวิต,การได้นอนกับหมาอย่างยินดีหมาไม่ได้รังเกียจเขาได้ ฯลฯ การฟังวันนี้มีรอยยิ้ม จากคนฟังในครอบครัวโยมพิม ญาติพี่น้องที่มาความรู้สึกที่ดีต่อกันอันหาค่าไม่ได้และจากการพบโยมพิมโยมเจี๊ยบก็รับรองด้วยตนเอง เพราะได้ทดลองเดินไม่ใส่รองเท้าสัมผัสด้วยตนเอง พี่ท่านถามโยมใครจนกว่าใคร ๆ รวยกว่าใครกันแน่ ? วาทะโยมพ่อคุณพิม “ ซื่อกินไม่หมด คดต้องไปนอก ” “ เปรตมีที่อยู่(พัก)ที่ตำรวจทางหลวง ” สองประโยคเด็ดก็เรียกเสียงฮาได้อย่างดี มีโยมมาฟังเพิ่มพูดเรื่องการสั่งสมบารมีแบบพระเวสสันดร (ex ชิน โสภณพานิช สิ่งที่ซื้อไม่ได้คือ ความสุข) ให้ศีลข้อเดียวไปทำคือ ไม่ก้าวล่วง , พูดถึง สุกรมัทวะ กินมัง คือ พวกเทวทัตจริงหรือ ? จนเวลา ๒๑.๑๕ น. จบการสนทนา

แสงสว่าง...ส่องบ้าน แสงธรรม...ส่องใจ

วันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เช้า ๐๖.๔๕ น.กล่าวนำให้ญาติโยมเข้าถึงพระรัตนตรัยและแสดงธรรมจบลง ๐๗.๓๕ น.ลงมือฉันข้าว – มีการสนทนาถามปัญหา - อาตมาก็เก็บภาพ จนกระทั่ง ๐๙.๒๙ น.จึงกล่าวลาและออกเดินทาง ญาติโยมบางส่วนเดินตามมาส่ง...
เดินมาไม่ทันไร ก็มีโยมนิมนต์ดื่มน้ำ จนกระทั่งเลยวัดโกศาไปเล็กน้อย ก็เป็นเวลา ๑๑.๑๑ น.อากาศวันนี้ร้อนไวกว่าเคย จึงแวะพักที่ศาลาอเนกประสงค์ข้างทางของตำบลกะเปา เนื่องจากพื้นถนนร้อนเกินฝ่าจะฝืนได้

“ กลอนเปล่า ก็ผุดขึ้นมา ”
“ เพียงหนึ่งตั้งใจเดินไปส่ง และประสงค์ฝึกตนของเจ้าของ
เสี้ยวชีวิตที่ทำตามครรลอง
จะได้มองหน้าพระพุทธองค์ได้ สบายใจเอย ”

เห็นแดดดีเลยนำผ้าจีวรมาผึ่งด้วยชุ่มเหงื่อและปรากฏว่า มีกลุ่ม อสม.นัดประชุมประจำเดือนพอดี ทางหัวหน้าที่เข้ามาที่ศาลานี้ก่อนใคร มานิมนต์ขอให้อยู่พักค้างและเทศน์เปิดประชุมเล็กน้อย ซึ่งภันเตก็รับที่จะพูดเรื่องสุขภาพเป็นแง่คิดให้ แต่ไม่ได้รับนิมนต์ ในการพักค้าง จากนั้นครู่ใหญ่ เมื่อเจ้าหน้าที่ อสม. กว่า ๘๐ คน มากันครบ พี่ท่านก็แสดงธรรมและกล่าวอำลาหลังพูดจบ ในจำนวน อสม.กว่า ๘๐ คนนั้น คนหนึ่งอายุน่ะมากกว่าเพื่อน ชื่อป้าเมี้ยน ได้ควักเงิน ๒๐ บาท เพื่อขอทำบุญในการได้มาฟังธรรมและพบพระธุดงค์ อสม.คนอื่น ๆ จึงพากันทำตาม ดูด้วยสายตาแล้วเงินที่ได้ไม่น่าจะต่ำกว่าสองสามพันบาท เมื่อรับเงินและอนุโมทนาพร้อมอธิบายให้โยมรู้จักพระที่แท้จะมีการปฏิบัติตนอย่างไรให้สมกับเป็นพระแล้ว จึงฝากเงินส่งคืนเพื่อให้นำเงินตั้งเป็นกองทุน อสม.ต่อไปก็ได้ยินเสียงญาติโยมอุทานออกมาหลายเสียง พร้อม ๆ กันว่า “ พระพันนี่ ม่ายเค้ยเห็นที ”
๑๓.๓๐ น. แดดร่มดีจึงออกเดินต่อจากอำเภอคีรีรัตน์เข้าสู่อำเภอตาขุน
๑๖.๒๓ น. ถึง หลักกิโลเมตร ๕๓ ก่อนจะถึงวัดตาขุนก็พบกับโยมแม่ โยมแดงกับภรรยา เเละคุณเจี๊ยบตามมาทันและถวายน้ำก่อนลาไปเยี่ยมลูกหลานอีกคนในตัวจังหวัดกระบี่
ครั้นถึงวัดหลวงพ่อปองอนุญาตให้พักในโบสถ์ ก่อนอาตมาจะลงไปพักพร้อมพี่ท่าน หลวงพ่อได้ขอหนังสือสุทธิไว้และชวนอาตมาสนทนาต่อพร้อมบรรยายของดีที่ท่านแสวงหามาจากสถานที่ศักดิ์สิทธิต่าง ๆ ว่า กว่าจะได้มายากเย็นขนาดไหน พร้อมถวายจตุคาม ๒ องค์ ให้อาตมาเป็นที่ระลึกและบอกว่า ท่านไปไหนไม่ต้องกังวลใจ ไม่มีปัญหา สิ่งศักด์สิทธิจะคุ้มครอง อาตมาก็น้อมรับและเก็บไว้มิได้ปฏิเสธในน้ำใจแต่ประการใด...ในส่วนการเดินทางมาถึงที่นี่ครั้งนี้ ปรากฏว่า เล็บนิ้วชี้เท้าซ้ายได้หลุดไป ๑ เล็บด้วยเหตุสะดุดขณะเดินและอาจเกิดจากความร้อนที่พบผ่าน พร้อมกันก็ได้ตัดเล็บมือที่ยาวแล้วห่อรวมกันไว้ด้วยกระดาษทิชชูพับเรียบร้อยน้อมฝากไว้ที่ใต้ฐานด้านล่างข้างหลังพระประธานในโบสถ์
ความเอย ความเชื่อ...

วันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ บรรยากาศในโบสถ์เงียบสนิท อาตมาตื่นตีสามนั่งทบทวนตนเองพอสว่างเก็บอัฐบริขารแล้วก็ขึ้นไปรับหนังสือสุทธิจากเจ้าอาวาสท่าน รอสักครู่ท่านก็ออกมาและชวนสนทนาเรื่องของเก่า ผงเก่า สสารเก่า ไม่ใช่มวลสารดังที่ทั่ว ๆ ไปเขากล่าวอ้างสร้างกันเพื่อเหมาะแก่การทำพระเครื่องรุ่นต่าง ๆ ก็นับว่า ได้สัมผัสกับพระที่มีความเชื่อ ๆ จริงในสิ่งที่ท่านศรัทธา ใส่ใจ และสนใจ อาตมาก็เปิดใจฟังอย่างนักการศึกษาโดยชวนดูสสารจากที่ต่าง ๆ มากมาย...
จากนั้นกราบลาท่านและออกโปรดสัตว์ได้ขนมมากมายและมาอาศัยโรงเรียนตาขุนเป็นที่นั่งฉันซึ่งที่นี่ ครูและเด็ก ๆ ในโรงเรียนให้ความสนใจกันมาก
เวลา ๐๘.๔๘ น.ออกเดินต่อจนถึงถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๑๕ กว่า ๑๑ โมงกว่าอากาศและถนนร้อนจึงหยุดพักในป่าปาล์มน้ำมันข้างทาง ตากจีวรที่ชุ่มเหงื่อ และพี่ท่านได้สนทนาโทรศัพท์กับคุณเล็ก ประกายพุทธ ถามเหตุที่ห่างอโศกไปด้วยเหตุใด ? แต่ได้ยินว่า เธอยังไม่ต้องการให้ใครทราบมากนักในเหตุผลก่อนจะมากราบนมัสการถวายต่อพ่อท่านด้วยตนเอง เกือบทุกสายโทรศัพท์ที่ติดต่อ หรือรับสายพี่ท่านจะเปิดเสียงให้ดังออกลำโพงไม่มีความลับเสมอ ๆ นี่ก็เป็นอีกแนวปฏิบัติที่ประทับใจ “ โปร่งใส ไร้ปัญหา แสงธรรมย่อมเจิดจ้า ทอบวร ”
วันนี้เดินได้ ๒๓ กม.ก็ค่ำ จึงขอเข้าพักที่สำนักสงฆ์แสนสุข ที่ ในเขต อ.พนม จ.สุราษฎร์ธานี แต่ที่นี่ได้ทราบว่า ปีก่อนท่านเจ้าอาวาสถูกฆ่าชิงทรัพย์จากพระที่จาริกมา ดังนั้น หลวงพ่อที่อยู่รักษาการสำนักสงฆ์ ฯ จึงโทรศัพท์ให้กรรมการวัดมาสนทนากับอาตมา และพี่ท่าน จนชัดเจนแล้วนิมนต์ให้เข้าพักได้ อาตมาก็เลือกที่ศาลาเป็นที่พักไม่ได้อาศัยกุฏิที่ท่านจะจัดถวาย

นกน้อย โผบินต่อไป

วันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ รุ่งเช้าเข้าไปลาหลวงพ่อสุรินทร์ ถิรธัมโม (เจ้า) สำนักสงฆ์ยูงงาม ต.คลองน้อย อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี โทรฯ ๐๘ – ๑๐๗๙๓๙๑๖ ที่มาพักที่วัดแสนสุขและกำลังอาพาธเรียบร้อยแล้ว ออกโปรดสัตว์และเดินทางต่อ วันนี้ญาติโยมได้ใส่บาตรด้วยข้าว-ผลไม้มากพอประมาณก็เลือกนั่งฉัน ณ ศาลาข้างทางจากนั้นเดินทางจนเกือบเที่ยงวันก็หาที่ร่มนั่งพัก วันนี้ออกจากพื้นที่อำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี เข้าสู่ตำบลเขาต่อ อำเภอปลายพระยา จังหวัดกระบี่ จน ๑๕.๑๕ น.แม้แดดจะยังร้อนก็ตั้งใจไปกันต่อ แต่ไปไม่นานกลับต้องเจอฝนตกลงมาอย่างหนักพร้อมพาลมกรรโชคแรงมาพร้อมด้วย ทำให้ต้องหลบฝนกันอีกรอบไม่งั้นเปียกหมดแน่ๆ พอฝนซาออกเดินสักครู่เวลาก็เย็นมาก ปรากฏว่า ฝนกลับตกหนักกว่าเดิมอีกทีนี้ ก็ได้หลบฝนที่ร้านขายอาหารเล็ก ๆ หน้าบ้านครูผัน ทองเพชร ครูภูมิปัญญาไทยด้านศิลปะการแสดงพื้นบ้าน ( ด้านลิเกป่า ) และฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดโดยง่าย โยมผันและลุงอีกคนจึงออกมาดูด้วยอากาศก็เริ่มมืดแล้ว และที่สุดก็นิมนต์ให้พักที่บ้าน รับนิมนต์แล้วก็เข้าพักที่ในบ้านหนูเจี๊ยบ ด.ญ.วรรณิดา มะลิวัลย์ กับแม่ที่บ้านเลขที่ ๓๘ หมู่ ๒ ต.เขาต่อ อ.ปลายพระยา จ.กระบี่ ๘๑๑๖๐ (เบอร์เจ้าโอรส เพื่อนชายแต่ใจตุ้งติ้งของเจ้าหนูเจี๊ยบ ๐๘ – ๔๖๓๐๐๒๙๗ ) โดยโยมผัน ทองเพชร อยู่บ้านเลขที่ ๑๐ หมู่ ๒ ต.เขาต่อ อ.ปลายพระยา จ.กระบี่ ๘๑๑๖๐ โทรศัพท์ ๐๘ - ๗๘๘๗๕๙๒ เป็นผู้ขวนขวายและเอาภาระพร้อมนิมนต์ฉันพรุ่งนี้ ที่นี่คณะลิเกป่าลูกผันปัญญาศิลป์ ค่ำนี้มีญาติโยมชาวลิเกมาสนทนา ๕ คนอย่างสนุกสนานรื่นเริงในธรรม (บ้านนี้อยู่ระหว่างหลัก กม.ที่ ๒๗ - ๒๘ เส้นทางหลวงแผ่นดินเลขที่ ๔๑๕ ทัปปุด – พนม ) น้ำใจอันงดงามแห่งศรัทธาวันนี้โยมแม่และหนูเจี๊ยบได้ยกบ้านถวายให้เข้าพักตามสบายโดยตนเองย้ายไปอาศัยบ้านพ่อผันแทน

เชื้อธรรม ฝังแน่น ในมีแกนแก่น ก็จักขวนขวายบุญสม่ำเสมอ

วันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เช้า...โยมแม่กับหนูเจี๊ยบช่วยกันประกอบอาหารมังสวิรัติถวาย ขณะเดียวกันทิดเย็นยิ่ง อดีตพระอโศกลาสิกขาได้นำอาหารมาถวายสมทบตามที่พี่ท่านชวนมาเป็นเจ้าภาพร่วมกับพ่อผันและญาติ ๆ โดยขับเก๋งสีน้ำเงิน ทะเบียน กข ๓๕๔๒ พังงา วันนี้ก็ให้ญาติโยมเข้าถึงพระรัตนตรัยจากนั้นเมื่ออิ่มแล้ว ๐๘.๒๕ น. จึงจาริกต่อ ๑๑.๓๓ น. แวะพักที่สถานีอนามัยเขาต่อด้วยความร้อนของแดดที่สูงมากขึ้น ครู่ใหญ่ ๆ แดดร่มลงมานานพอควรจึงออกเดินทางแต่ก็ไปไม่ได้ด้วยความร้อนที่สะสมบนพื้นถนนยังมีมากอยู่ และแดดก็แผดจ้าอีกจึงจำต้องเข้าในร่มสวนปาล์มข้างทางนานพอควร จึงสามารถเดินทางได้ มาถึงสี่แยกก็เลี้ยวซ้ายมองดูตามหลักกิโลเมตรบอกว่า ๑๙๗ กม. ถึง ตรัง กระทั่ง ๑๘.๐๐ น. ถึงโรงเรียนชุมชนวัดนาเหนือ ชาวบ้านที่ถวายน้ำบอกว่าเข้าพักได้โดยพยายามติดต่อหาครูเวรก็ยังไม่พบจึงเตรียมสถานที่ๆโรงอาหารตามที่โยมในสนามฟุตบอลที่กำลังเล่นอย่างสนุกพามาส่ง เพื่อหลบฝนที่ตกหนักและฟ้าคะนองตลอดคืน

วันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เช้านี้ที่โรงเรียนชุมชนวัดนาเหนือ ๐๖.๒๐ น. ออกโปรดสัตว์ ๐๗.๑๗ น.เดินกลับมาฉันที่โรงเรียน ฯ อิ่มแล้วออกจาริก อีก ๔ กม.จะถึงอ่าวลึกได้เวลาพักเที่ยงในสวนปาล์มขณะเดินทางวันนี้ มีโยมอายุกลางคนพยายามเดินตามมาด้วยท่าทางเบลอ ๆ แปลกๆ แล้วจะชวนไปพักที่ถ้ำมีเมื่อมีโยมนำผลไม้มาถวายโยมแปลกท่านนี้ก็ไปรับแล้วนำผลไม้นั้นมา แล้วแกก็เดินตามไป กินไปจนหมดถุง แต่พอเห็นอาตมาพักนานเกินไปแกก็จากไป หลังออกจากที่พักหลบแดดในป่าปาล์มก่อนถึงหลักกิโลเมตรที่ ๔๑ จะถึงกระบี่หรืออีกประมาณ ๑๗๕ กม.จะถึงตรังก็พบโยมของแม่คุณพิม คุณเจี๊ยบกำลังเดินทางกลับอีกครั้ง ราวๆ ๑๖.๐๖ น. โยมลงจากรถมาถวายน้ำก่อนลากลับบ้านที่ อ.คิรีรัตน์ต่อไป
๑๘.๐๘ น.ถึงโรงเรียนบ้านกลาง ก็พอดีฝนตกจึงขอเข้าพักโดยมีคุณครูผู้เป็นคุณแม่ของเจ้าหนูดีม ลูกชายมีแววฉลาด เข้ามาสนทนาและนิมนต์ให้พักที่โรงอาหารและขอถวายอาหารตอนเช้า ฝนก็ตกลงมาอย่างหนักอีกอาตมาก็ได้อาศัยน้ำฝนอาบอย่างเย็นฉ่ำ

วันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เช้าเจ้าหนูดีมกับแม่นำอาหารมาถวายใส่บาตร อาตมาทั้งสองออกจากโรงเรียนโปรดสัตว์ตามปกติที่เคยทำมีฝนตกปรอย ๆ หลังฉันวันนี้อาหารเหลือมากทั้งขนม นมน้ำจึงต้องหาผู้เหมาะแก่การรับซึ่งวันนี้มอบแด่ โกไข่ ที่สามแยกบากันและขอเบอร์โทร ฯ ไว้เผื่อติดต่อ ๐๘ – ๖๙๔๕๔๑๖๘ และได้พบกับชาวเยอรมัน นามว่า จูเลี่ยน เขาบอกว่าเขาคือ นักเดินทางไปได้ทั่วโลกโดยรถจักรยานเป็นที่ประทับใจในกันและกัน ด้วยยกนิ้วให้พอทราบว่า อาตมาทั้งสองเดินมา....ขณะเดินมาได้ ๓๒ กม. ก็พบโยมอ้วนผู้ใจบุญมาถวายน้ำและกราบอย่างนอบน้อมพร้อมขอถวายอาหารวันรุ่งขึ้น เย็นวันนี้ยังไม่ทันพบโรงเรียน หรือวัดที่จะขอเข้าพัก ก็มาพบ ท่านปลัดประดิษฐ์ ภิญโญธรรมโนทัย ที่กำลังเดินออกกำลังกายนิมนต์ให้เข้าพักในบ้าน และเมื่อมาถึงก็พบหลานๆ ท่าทีเป็นเด็กฉลาด ๓ คน เข้ามาสนทนา คือ ด.ช.พรรษพงศ์ พันธ์เศรษฐ์ (เจ้าซำ) เรียนอยู่ชั้น ป.๖ / ๖ ด.ช.ศตวรรษ พันธ์เศรษฐ์ (เจ้าเซียน) เรียนอยู่ชั้น ม. ๑ / ๑๑ และ ด.ญ.ปรารถนา ภิญโญธรรมโนทัย อาศัยอยู่บ้านเลขที่ ๑๕ ถ.ศรีพังงา ต.กระบี่ใหญ่ อ.เมือง จ.กระบี่ ๘๑๐๐๐ ซึ่งมานั่งฟังสนทนาซักถามอย่างสนใจ
บรรยากาศท่านปลัดประดิษฐ์ และหลาน ๆ ในบ้าน ญาติทางธรรมเต็มพื้นที่...ไปที่ไหน ๆ ก็เจอะเจอ...

วันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เช้านี้โยมอ้วนผู้ผ่านประสบการณ์ชีวิตมากมาย ฯลฯ พร้อมกับคุณเปิ้ล เจ้าหน้าที่ธนาคารศรีนครที่เกาะพีพีและหนูแบมเด็กน้อยที่รอดอย่างหวุดหวิดจากซึนามิขณะนั้นวัยเพียง ๘ เดือนเท่านั้น โดยโยมอ้วนนำหนีพ้นน้ำได้ เธอขับรถตามหาจนมาพบที่บ้านโยมปลัด ฯ แล้วนำอาหารมาทำบุญที่บ้านปลัดประดิษฐ์ที่ทำร้านอาหารอยู่ข้างปั๊มเชลล์ จากการได้มาสนทนาทำให้รู้ว่าโยมอ้วนปฏิบัติธรรมสายอนุตรธรรมและสามีโยมอ้วนที่เสียชีวิตแล้ว ชื่อ นายอำพล ชัยดิรก
หลังฉันออกเดินทางกันต่อ ๑๓.๐๐น.พักหลบร้อนข้าง ๆ เหนือคลองยนตการ ในเขตอำเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ การเดินทางต้องสะดุดเมื่อต้องมาเจอฝนจึงต้องหลบเข้าบ้านโยมบุญให้...จนเย็นฝนไม่ทันหายขาดดี ลมก็พัด
ไม่แรงนักจึงตัดสินใจเดินทางต่อ ก่อนจะถึงวัดที่โยมปลัดแนะนำให้เข้าพักคืนนี้อีกไม่กี่กิโล ฯ มาผ่านบ้านโยมซิ้ว หรือโยมสมพร สุทธิกุล คุณแม่ผู้มีอายุ ๗๔ ปี ที่บ้านโคกม่วง(หรือ ควนม่วง) เลขที่ ๕๔ หมู่ ๗ ตำบลปกาสัย อำเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ ๘๑๑๓๐ โยมซิ้วและลูกชายที่ขับรถตู้รับจ้างรีบออกมานิมนต์ให้เข้าพักในบ้าน และค่ำนี้ก็เป็นการนอนแยกกับพี่ท่านในรัศมีสายตาที่จะมองเห็นกลดกันได้เป็นคืนแรกนับแต่เดินทางจาริกมา หลังสรงน้ำมีโยมอาสาซักผ้าให้ เมื่อได้สนทนา ทำให้รู้ว่าโยมซิ้วมีสามีเป็นชาวพิษณุโลก เสียชีวิตไปกว่า ๓๐ ปี มีลูกทั้งหมด ๕ คน ที่เป็นโสดจนบัดนี้คือ ลูกสาวคนที่เป็นหมอและเป็นผู้บริหารอยู่ที่ รพ.ราชวิถี ในขณะนี้ ชื่อ คุณหมอนุชรพี สุทธิกุล อาตมาสนทนากับโยมซิ้วจนตะวันตกดิน บางช่วงโยมพยายามพูดไทยภาคกลาง ประเดี๋ยวก็หัวเราะแล้วกล่าวว่า “ ขอแลงใต้นะพ่อหลวง แลงกลางขัดกกลิ้นน่าดู ” สมควรแก่เวลาโยมก็จากลาเข้าบ้าน อาตมาก็นั่งเขียนบันทึกและพักผ่อน

อาตมามีพี่สาว มีโยมแม่ปวารณาและได้รับการเรียกจากโยมพี่สาว ว่า “ น้องหลวง ” และวันนี้สนทนากับจระเข้..อีกต่างหาก

วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เช้ามืด อาตมาตื่นขึ้นมานั่งทบทวนตนเอง ก่อนการเดินจาริกหลังฉันเช้า โยมผู้หญิงซึ่งเป็นลูกสาวอีกคน ชื่อ เล็ก รัชณีพร แซ่โกย และโยมซิ้ว ผู้เป็นเเม่ที่ให้พักบ้าน ณ หลัก กม.๘๙ ห่างกระบี่ ประมาณ ๒๔ กม.ถนนกระบี่ - ตรัง ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔ โทรศัพท์ ๐๘ – ๖๒๖๗๗๙๕๘ เมื่อคืนนี้ โยมซิ้ว โยมเล็ก นิมนต์ให้กลับมาแวะหาที่บ้านนี้อีก หากมีโอกาสผ่านมา โดยโยมเล็กเธอเรียกอาตมาว่า “ น้องหลวง ”
หลังจากลาโยมออกเดินสักพักก็มีผู้ถวายขนม ก็ได้พยายามหาทางอธิบายว่า ฉันแล้วไม่สะสมแล้วฯลฯ โยมก็ยังปรารถนาถวาย ปรารถนาจะทำบุญจึงจำต้องรับและมองหาผู้เหมาะสมให้ช่วยเป็นลูกศิษย์ซึ่งคนที่ได้รับก็มักทำหน้างงให้เห็นด้วยจู่ๆก็มีพระแปลก ๆ เอาขนมมาให้ก็พบเหตุแบบนี้หลายครั้งตลอดบรรยากาศการเดินที่ผ่านมา ครั้นเดินได้ ๑๒ กม.พักหลบร้อนที่ใต้สะพานก่อนถึงอำเภอคลองท่อม ๔ กม.ที่นี่มีน้ำไหลลมพัดเย็นสบาย น่าสงสารพี่ท่านจังที่ต้องคุยโทรศัพท์กับโยมนานเป็นชั่วโมง ๆ เป็นประจำ นี่เพียงเพื่ออนุเคราะห์และนี่ก็คงเป็นวิถีชีวิตอนาคาริกในอีกแนวหนึ่งในยุคนี้ พอออกเดินต่อก็มีวัยรุ่นนักเรียน ๖ – ๗ คน นำน้ำดื่มทิพย์เข้ามาถวายด้วยกิริยาอ่อนน้อมถอดรองเท้าก่อนถวายก็นับเป็นเรื่องที่ควรจำในการก้าวมาสู่ จ.กระบี่ ในยามมีแดดที่ร้อนมีฝนที่ตกเดินทางไม่ได้ต้องหาที่พักนั่งรอเวลาความรู้สึกปล่อยวางไปกับธรรมชาติที่เกิดที่เป็นมาสกัดและเวลาที่ผ่านเลยไปจน ๖ โมงเย็นถึงที่ทำงานพี่จระเข้ พี่ชายคนโตของคุณอุ๊ หรือคือ ครอบครัวแม่อาบ พ่อสนาน ที่คันธุลีที่ผ่านมา
จากจระเข้ หรือพี่เข้มาสวมบทบาทมาดเด็กวัด...

วันที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เช้าโยมเข้มานิมนต์เพื่อเดินรับบาตรพร้อมทำหน้าที่ศิษย์วัดได้อย่างดี พบว่าบ้านแรกที่ใส่เช้านี้...บังเอิญไปตรงกับวันคล้ายเกิดของหนูสไปซ์ อายุ ๑๐ ขวบ มีพระธุดงค์มาให้ใส่บาตรพอดี อาตมาถามเธอว่า “ โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร ” “ เป็นหมอค่ะ ” บ้านสองมาใส่เป็นครอบครัว และบ้านคนงานอีกหลายหลัง หลายคนจากนั้นก็กลับมาฉันที่บ้านพักรับรองจนเรียบร้อยโดยมีโยมสุชาติ โยมจิตใจ โยมอาภรณ์ โยมนงคราญ และตาเข้ เข้ามาดูแลเอาใจใส่ อาตมาก็เลยขอบันทึกภาพความประทับใจเอาไว้
หลังออกเดินทางมีรถโตโยต้า ทะเบียน บง ๙๔๔๓ จะขอไปส่งถึงตรัง ก็อธิบายให้ทราบ โยมก็อนุโมทนาแล้วจากไป ต่อมาพบนักเรียน ชื่อ เด็กชายธีรทัศน์ เธออยากอยากเป็นทหารนำน้ำมาถวาย ที่ประทับใจอีกท่านหนึ่ง คือ โยมประณีต ออกมาจากบ้านนิมนต์ให้เข้าไปโปรดโยมแม่ปรานี วัย ๘๔ ปี เกิดอาการมือเท้าหนักยกไม่ขึ้นมาสามสี่วันลุกไปไหนมาไหนไม่ได้ทุกข์ใจมาก ก็เลยเข้าไปโปรดปรากฏว่า โยมก็สามารถยกมือมาไหว้ในทันทีได้และบอกให้ยกแข้งขาทั้งสองข้าง โยมก็ทำได้ จากนั้นก็ให้พรโยมและกล่าวลาออกเดินต่อไปโดยโยมพยายามจะนิมนต์ให้พักค้าง หรือนำเงินมาถวายก็อธิบายเหตุผลและการจำกัดด้วยเวลาจนเข้าใจและอนุโมทนาแล้วก็จากมาในท่ามกลางใบหน้าที่เปี่ยมปิติและปริ่มน้ำตาของโยมทั้งสองที่ปรากฏ เมื่อเดินต่อมามีหนุ่มคนหนึ่งมาแนะนำตนว่า ผมเป็นคนมอญอยากทำบุญกับพระคุณท่าน แล้วน้อมถวายเงิน แต่เมื่อฟังอธิบายพระแท้เป็นยังไงและเมื่อฝากคืนให้เขาไปทำบุญต่อไป เขาจึงขับรถกลับไปหาน้ำส้มมาถวายแทน ส่วนอีกคนเป็นโยมผู้ชายอายุกว่า ๖๐ ปี มาถามว่า “ พ่อหลวง ค่ำนี้พักที่ไหน๊ จะข๊อตามมาฟังนิทาน ” ก็นับว่า แปลกดี ค่ำนี้มาถึง โรงเรียนบ้านพรุพรี ผู้ใหญ่บ้านก็ยินดีให้เข้าพัก พอกลางคืนมีโยมขับรถมานิมนต์ให้รักษาโรคให้ พี่ท่านก็เลยจ่ายยาธรรมเข้าไปรักษาใจให้เรียบร้อย โยมก็กราบลาจากไป

วันนี้ทำลายสถิติการเดินจาริก... และได้รับนิมนต์ให้มาจำพรรษาเป็นเจ้าอาวาสสำนักสงฆ์...

วันที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ ออกโปรดสัตว์และกลับมาฉันที่โรงเรียนพรุพรี โดยมีโยมตามมาถวายอาหารผลไม้พร้อมทั้งนำด้ายมาให้ช่วยผูกข้อมือเด็ก ๆ พี่ท่านก็อนุเคราะห์และทำให้กับเด็กที่ตามแม่มา ที่โรงเรียนพรุพรีที่นี่อยู่ในราวหลัก กม. ที่ ๗๑ จะถึงจังหวัดตรัง หลังจากโยมนำด้ายมาให้ช่วยพันข้อมือเด็กแล้ว ก็เดินมาทางบ้านกะลาเสและลัดมาทะลุเส้น ควนกุน – ตรัง ก็นับว่า ย่นระยะทางได้พอสมควร จนอีก ๔๙ กม. จะถึงตรัง มาโผล่เข้าพื้นที่จังหวัดตรังพ้นเขตจังหวัดกระบี่ จากหลักกิโลเมตรนับว่า เดินได้ ๔๕ กม. สถิติเดิมทำได้สูงสุด ๔๑ กม. ก็เดินท่ามกลางสายฝนจนถึงสำนักสงฆ์ห้วยต่อ ซึ่งจุดนี้จะเหลืออีก ๒๖ กม. ถึงจังหวัดตรังก็เบาใจเล็กน้อยว่า พรุ่งนี้ ถึงที่หมายแน่ และ ที่สำนักสงฆ์ หลวงพ่อเจ้าอาวาส อายุ ๙๖ ปี ท่านนำหมอนและนมเปรี้ยวมาถวายและสนทนาต้อนรับอย่างน่าประทับใจ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่อาตมาดื่มนมเปรี้ยวในเวลาวิกาลนอกมื้ออาหารเป็นครั้งแรก ส่วนหลวงพ่ออีกรูปหนึ่ง อายุ ๘๐ พรรษา ๑๘ มานิมนต์ขอให้อยู่จำพรรษาช่วยบริหารที่สำนักสงฆ์ใกล้ๆ อีกแห่งแต่ก็เรียนท่านให้ทราบถึงความเป็นไปไม่ได้ อธิบายอยู่นานท่านก็เข้าใจ พร้อมแจ้งท่านไว้ว่า รุ่งเช้ากระผมทั้งสองจำต้องจากลาไปในตอนเช้ามืดเพื่อให้ทันฉันในตัวเมืองจังหวัดตรังหรือที่ทักษิณอโศก ท่านรับทราบและเห็นว่า ดึกแล้วก็กลับไปพักที่กุฏิท่าน อาตมา กราบพี่หลวงแล้วก็เข้ากลดพักผ่อน

วาทะพี่ท่าน “ วันนี้ ทุบหม้อ ตีเมือง....ไม่ถึง ไม่ฉัน ”

วันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐
“ เดินมาส่งด้วยใจแท้ ศรัทธา
พิจารณาด้วยปัญญา ถ่องแท้
แก้ปัญหาโลกและสืบศาสตร์ ด้วยการก้าว
สืบยาวกว่าสองพันห้าร้อยปีแท้ จึงแน่ใจทำ ”

ออกจากสำนักสงฆ์ห้วยต่อแต่มืด พอสว่างก็มีโยมมาใส่บาตรขณะเดินทั้งที่ตั้งใจทุบหม้อข้าวเพื่อไปฉันที่ตรังไม่ถึง ก็ไม่ต้องฉัน จึงเดินทางโดยไม่ได้เตรียมบาตรออกมา แต่ก็ต้องรับศรัทธาของโยมมาด้วยตลอดทาง จนเวลา ๑๐.๔๐ น.มาถึงตัวจังหวัดตรัง ญาติโยมชาวใต้นำโดยโกเม้งและอีกหลายคนตัดสินใจนำอาหารมาถวายเพราะคำนวณว่า จากตรังไปถึงทักษิณอโศก ต้องเลยเที่ยงวันแน่ จึงนำมาฉันที่บ้านโยมแดงหน้าสถานีวิทยุ อสมท.ตรัง ที่เห็นอาตมาทั้งสองแล้วศรัทธานิมนต์ให้นั่งฉันหน้าบ้านพร้อมนำน้ำดื่มมาถวายและฝนก็ตกลงมาพอดี...ก็นับว่าเป็นความลงตัวทั้งเวลา ทั้งบุคคล ทั้งสถานที่และธรรมชาติที่จัดสรร
เที่ยงกว่า ฉันอิ่มแล้วแต่ฝนยังไม่ทันขาดเม็ดก็ออกเดินทางไปทักษิณอโศก โดยมีสามสาวชาวตรังซึ่งตั้งใจทิ้งรถเก๋งแล้วเดินตามมาจน ๑๕.๐๐ น.ก็มาถึงทักษิณอโศกอย่างลงตัว
บรรยากาศเมื่อถึง ทักษิณอโศก
เมื่อมาถึง อาตมา ได้พบแม่แพ้ว โยมแม่ของสมณะสัจจะเปโม ที่อาตมาห่างโยมมานานเป็นแรมปี เข้ามากราบด้วยความรู้สึกที่ระลึกถึงกัน โยมเองก็ยิ้มทั้งน้ำตา และโยมอีกหลาย ๆ คนต่างก็เข้ามาทักทาย
จากนั้น อาตมาก็ได้รับการดูแลในส่วนผ้าจีวร – สบง โยมขอเพื่อนำไปใส่เครื่องซักผ้าทำความสะอาดให้ ญาติโยมที่รู้ว่า อีกแป๊บเดียวอาตมาก็จำเป็นต้องรีบกลับมาลงอารามที่นครปฐม อันคือ พุทธสถานปฐมอโศกก็เข้ามาพูดคุย หลังจากพูดคุยสนทนากับญาติโยม และเข้าไปกราบนมัสการภันเตติสวโร และกราบลาพี่ท่านแล้ว ๑๗.๐๐ น. โยมก็จัดรถมาส่งที่สถานีรถไฟในตัวจังหวัดตรัง ๑๗.๒๐ น.โยมมาส่งขึ้นรถไฟ ได้หมายเลขตั๋วนอน A๔๓๕๙ – ๕๕๕๐๕ คันที่ ๑๑ เลขที่นั่ง ๐๑ ราคา ๕๙๖ บาท รหัสตั๋ว ๑๔๑๖ – ๒๐๙ – ๐๐๐๗๗ -๐๑/๐๑ ๗๙๗๒๕๐ ขณะเดินทางบนรถไฟพี่ท่านส่งคำอนุโมทนาจากการมาร่วมเดินทางในครั้งนี้ ว่า

“ บรรลุสำเร็จจนได้ โดยเฉพาะมิตรภาพแห่งความเป็นพี่น้อง ไม่มีความขัดแย้งตลอดทางโมทนาน้องท่านที่มีความเพียรปรับตัวเองได้ดี เป็นนิมิตที่ดี ”

วันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เช้า ๐๖.๔๐ น. มาถึงสถานีที่นครปฐม ลงจากรถไฟได้พบกับเจ้าหนูลูกปลา ที่ขายข้าวสารอยู่ซอย ๑ บอกว่า “ หลวงน้าดำปื๋อเลย ” และพอมองไปที่ทำงานเทศบาลก็ใจหายวาบเพราะตึกทั้งตึกหายไป อะไรกัน...ที่ทำการเทศบาลเมืองทั้งหลังถูกทุบทิ้งหรือนี่ และพบโยมคนหนึ่งผู้น่านับถือให้ข้อมูลว่า แม้ฉันไม่ค่อยจะสนใจเพราะเป็นเรื่องการเมืองท้องถิ่น แต่ฉันก็ได้ยินคนที่เชื่อถือได้พูดกันว่า ก่อนทุบมี คุณบรรหาร ศิลปะอาชา มาร่วมบัญชาสั่งการให้ทำเองอีกทั้งของเก่าภายในก็มี..โครงกระดูกก็มี ถึง ๓ ศพ ของเก่า และ แนวกำแพง ที่ได้พบก็พบมี แต่ทว่าเจ้าหน้าที่จากกรม ฯ ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญต่อยุคสมัยของพระราชวังปฐมนครแห่งนี้ได้ในการที่จะเป็นแหล่งประวัติศาสตร์ ด้วยเห็นว่า ไม่สามารถเอาชนะต่อเทศบาลที่มีทิฐิ แบบนี้ได้ ทั้งงบประมาณแต่แรกเพื่อทำการสำรวจพิสูจน์ ให้เวลา ๑ ปี มีเงินให้ทำการ ๑ ล้านบาท ก็มีบัญชาให้เหลือเพียง ๕ แสนบาทและใช้เวลาเพียง ๔ เดือน เท่านั้น อาตมาฟังแล้วก็อดสลดใจไม่ได้ เมื่อมาสืบอีกชั้นหนึ่งก็ทราบว่า บริษัทที่จะมารับงานก่อสร้างอาคารเทศบาลใหม่ ก็เป็นกลุ่มที่เคยไปทำงานรับเหมาก่อสร้างให้กับอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร อีกด้วย เอากันเข้าไปพ่อเจ้าประคุณ ก็คงต้องดูวิบากกรรมกันต่อไปล่ะเน้อ....ข้อมูลเช่นนี้ มีเข้ามาทันทีที่กลับมาเหยียบเมืองอันศักดิ์สิทธิ์ หลังจากห่างไปเพียง ๔๕ วัน จะเท็จจะจริง อาตมาก็ขอนำความรู้สึกบันทึกไว้....
หลังสนทนาได้ข้อมูลมาพอสมควร อาตมาก็เดินมาฉันอาหารและสนทนากับญาติโยมที่ร้านมังสวิรัติที่ ซอย ๒ จนกระทั่งบ่ายแก่ ๆ โยมลูกยอ หรือคือ โยมจุฑามาศ โยมจุฑากาญจน์ สองพี่น้องผู้มีศรัทธามาอย่างสม่ำเสมอได้แวะมากราบทักทายมาดูหน้าตาที่ผ่านการทำสปา ฯ มาแล้วของอาตมา บ่าย ๆ โยมช้างและครอบครัวพากันแวะมารับอาตมาเข้ามาในปฐมอโศก ก็เลยได้พากลุ่มโยมทานข้าวและส่วนตัวก็ขอโอกาสมาพักที่กุฏิหลังที่ ๑๕ และเดินกราบภันเตรายงานตัว “ ผมกลับมาแล้วครับ ” แล้วสรงน้ำทำกิจส่วนตัวและรีบมานั่งเขียนบันทึก ก่อนขึ้นศาลาเพื่อร่วมรายการเวียนธรรม
บันทึกการเดินทางจากจังหวัดนครปฐมจาริกไปส่ง สมณะกลางดิน โสรัจโจ จากจังหวัดนครปฐม ผ่านจังหวัดราชบุรี จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดชุมพร จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดกระบี่ และปลายทางคือจังหวัดตรัง ระยะทางคาดว่ากว่า ๙๐๐ กิโลเมตร หรือจาก ปฐมอโศก สู่ ทักษิณอโศก
ตั้งแต่ วันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ ถึง วันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐
โดย...สมณะบินก้าว อิทธิภาโว ก็จบลงอย่างสมบูรณ์ด้วยประการ ฉะนี้

“ เดินมาส่งด้วยใจแท้ ศรัทธา
พิจารณาด้วยปัญญา ถ่องแท้
นี่คือทางแก้ ปัญหาโลกและสืบศาสตร์ ด้วยการก้าว
สืบยาวกว่าสองพันห้าร้อยปีแท้ จึงแน่ใจทำ ”


ที่มา : http://www.dhammathai.org/store/talk/view.php?No=288

1 ความคิดเห็น:

  1. กว่าปีผ่าน...
    เพื่อนสหธรรมิก อำลา...
    มุ่งแสวงหา สู่เส้นทางสายใหม่...
    จากบรรพชิต ขอลาไป เป็นคฤหัสถ์ นาม บัณฑิตกลางดิน

    ตอบลบ